น้อยคนนักที่จะทราบว่า “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระปรีชาสามารถทางวรรณศิลป์และดนตรี ทรง พระราชนิพนธ์บทร้อยกรองหลายบท เพื่อนำไปใส่ทำนองเป็นเพลง บางบททรงพระราชนิพนธ์ร่วมกับ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ “สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” และได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน
“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงศึกษาและฝึกฝนเปียโนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะที่เป็นนักเรียนโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ และได้ตามเสด็จพระบิดา “กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ” เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศ “หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร” ไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ โดยระหว่างประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทรงเรียนเปียโนควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษ ประทับอยู่ที่อังกฤษไม่นาน ต่อมาพระบิดาทรงย้ายไปเป็นราชทูตที่ประเทศเดนมาร์กและฝรั่งเศสทั้งครอบครัว พระองค์ก็ตามเสด็จด้วย
“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ยังโปรดเพลงมาก ทรงจดจำบทเพลงที่ทรงขับร้องตั้งแต่ทรงพระเยาว์ได้อย่างแม่นยำ และเป็นที่ทราบกันดีว่าพระองค์โปรดบทร้อยกรองมาก มีผู้ประพันธ์ขึ้นทูลเกล้าฯถวายอยู่เสมอ อันทำให้มีพระราชดำรินำบทร้อยกรองที่ทรงพอพระราชหฤทัยไปใส่ทำนองเพลงเพื่อขับร้อง
“ท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร” ถ่ายทอดความทรงจำว่า “สมเด็จพระบรมราชชนนี พันปีหลวง” ไม่โปรดให้ใครอยู่เฉยๆ ทรงส่งเสริมให้แต่งกลอน ให้มีความรู้เรื่องศิลปะ มีรับสั่งให้ข้าราชบริพาร นายทหารราชองครักษ์ เขียนกลอนกัน พวกนายทหารแต่งกลอนเก่ง...บางทีก็ตรัสขึ้นมาประโยคหนึ่ง แล้วโปรดเกล้าฯให้พวกเราแต่งต่อ แล้วก็ทรงทวง...เหมือนบังคับกลายๆว่าต้องแต่งให้เสร็จ ผลปรากฏว่าได้เพลงดีๆเพราะๆ เป็นสมบัติของชาติมากมาย”
ในระยะที่บ้านเมืองมีภัยจากผู้ก่อการร้าย ทหารและตำรวจต้องเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศชาติ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระราชเสาวนีย์ให้ประพันธ์เพลงในโอกาสต่างๆ เพื่อปลอบขวัญและให้กำลังใจเหล่าทหารหาญและครอบครัว พร้อมทั้งเตือนใจคนไทยให้รักชาติหวงแหนผืนแผ่นดิน
พระองค์ได้พระราชทานแนวคิดของเพลงแต่ละเพลง และโปรดเกล้าฯให้นักร้องที่มีเสียงเป็นมาตรฐานขับร้องและบันทึกเสียงถวาย บางเพลงเป็นคำร้องจากทำนองเพลงพระราชนิพนธ์ของ “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช” ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษเพลง “Alexandra” ตามทำนองที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ 16 ห้องเพลง โดยเพลง “Alexandra” นำออกบรรเลงครั้งแรก ณ ศาลาผกาภิรมย์ สวนจิตรลดา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2502 ต่อมาในพุทธศักราช 2516 “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระราชดำริว่า ท่วงทำนองของเพลงพระราชนิพนธ์ “Alexandra” ไพเราะ และน่าจะใส่คำร้องภาษาไทยได้ จึงได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตให้ “ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค” ประพันธ์คำร้องภาษาไทย “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทรงพิจารณาเห็นว่า เพลงพระราชนิพนธ์ “Alexandra” มีเพียง 16 ห้องเพลง จึงทรงพระราชนิพนธ์เพิ่มเติม โดยมีท่อนกลางและท่อนท้าย จนครบ 32 ห้องเพลง
เมื่อพุทธศักราช 2512 “ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค” ได้รับพระราชเสาวนีย์ให้ประพันธ์บทกลอนแสดงความนิยมส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจทำงานตามอุดมคติเพื่อประเทศชาติ เป็นบทประพันธ์คำกลอน 5 บท ชื่อว่า “ความฝันอันสูงสุด” จากนั้น “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โปรดเกล้าฯให้พิมพ์บทกลอนนี้ลงในกระดาษแข็งแผ่นเล็กๆ พระราชทานแก่ข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, พลเรือน และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เป็นการเตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี ต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2514 “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้ “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน “ความฝันอันสูงสุด” จนกลายเป็นที่มาของเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 43 อันมีความหมายลึกซึ้งกินใจ
เพลง “เรา–เหล่าราบ 21” เป็นอีกบทเพลงที่เกิดจากพระราชดำริของ “สมเด็จพระบรม ราชชนนีพันปีหลวง” ครั้งเสด็จแปรพระราชฐานไปยังทักษิณราชนิเวศน์ เมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช 2519 มีพระราชเสาวนีย์ให้ “ร้อยตำรวจโท วัลลภ จันทร์แสงศรี” (ยศขณะนั้น) ประพันธ์คำกลอนมอบแก่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยพระราชทานคำประพันธ์วรรคสำคัญว่า “อันที่สุดของไทยนั้นคือชาติ” และขอพระราชทานทำนองเพลงจาก “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทั้งนี้ เนื้อเพลง “เรา-เหล่าราบ 21” แสดงถึงความห้าวหาญของทหารเสือพระราชินีที่รักชาติไทยรักแผ่นดินไทยยิ่งชีวิต
อีกทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยกรองสร้างสรรค์เป็นบทเพลงแห่งความทรงจำไว้อีกหลายบทเพลง อาทิ นางแย้ม, กุหลาบไกลกังวล, รอก่อนสุริยัน, ทาสเธอ, เจ้าจอมขวัญ, อาลัยครวญ และสายหยุด
“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โปรดการขับร้องด้วย ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานประทับ ณ พระราชนิเวศน์ในภูมิภาค มีงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารเป็นการส่วนพระองค์ นอกจากจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นักร้องยอดนิยมแห่งยุค เช่น สวลี ผกาพันธุ์, สุเทพ วงศ์กำแหง, รวงทอง ทองลั่นธม, จินตนา สุขสถิตย์ มาร้องเพลง และโปรดให้ผู้เข้าเฝ้าฯร่วมร้องและแสดงความสามารถด้านต่างๆถวาย บางครั้งทรงพระกรุณาขับร้องเพลงพระราชทานด้วย
“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โปรดขับร้องเพลงไทยเดิมและทรงขับร้องได้ไพเราะอย่างยิ่ง เพลงที่โปรดมากที่สุดคือ “ลาวดวงเดือน” พระนิพนธ์ใน “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม” พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และเจ้าจอมมารดามรกฎ
การที่โปรดเพลง “ลาวดวงเดือน” มิใช่เนื้อร้องเศร้ากินใจ หรือท่วงทำนองที่ลึกซึ้งไพเราะอ่อนหวานรัญจวนชวนให้ผูกพันเท่านั้น หากแต่ทรงคำนึงถึงคุณูปการของ “กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม” ผู้ทรงทำนุบำรุงไหมไทยให้ปรากฏไว้ในแผ่นดิน อันเป็นงานส่งเสริมศิลปาชีพแขนงแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ “กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม” พระราชโอรสที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เป็นอธิบดีกรมช่างไหมพระองค์แรก “เพลงลาวดวงเดือน” เดิมชื่อ “ลาวดำเนินเกวียน” ทรงพระนิพนธ์ขณะประทับเกวียนไปตรวจราชการภาคอีสาน
นอกจากนั้น “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โปรดเกล้าฯให้จัดการแสดงนาฏศิลป์ประกอบเพลงเรียกว่า “ชุดฟ้อนลาวดวงเดือน” โดยมี “อาจารย์มนตรี ตราโมท” เป็นผู้จัดวงบรรเลงและขับร้อง “ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี” เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ สำหรับแสดงในงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำพระราชอาคันตุกะเป็นการส่วนพระองค์ 3 ครั้ง คือครั้งแรกในโอกาสทรงรับรอง “เจ้าชายเฟรดเดริก วิลเฮล์ม ฟรอน บรัสสัน” แห่งสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี ณ สวนศิวาลัย ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2506
ครั้งที่สองในโอกาสพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่เจ้าชายและเจ้าหญิงฮิตาชิ ณ พระตำหนักเรือนต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2508
ครั้งที่สามในโอกาสพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำพระสหาย ณ พระทีี่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2509
ฟ้อนลาวดวงเดือนชุดนี้จึงเป็นแบบมาตรฐานของกรมศิลปากร ตราบมาถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นโปรดเกล้าฯให้นำการแสดงชุดฟ้อนลาวดวงเดือนไปเผยแพร่เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะผู้แทนพระองค์ เมื่อพุทธศักราช 2543
“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ไม่เพียงแต่จะทรงเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังทรงสนับสนุนส่งเสริมกวี, นักร้อง และนักดนตรี ให้สร้างสรรค์บทเพลงตามพระราชดำริ ก่อเกิดเป็นผลงานเพลงอมตะมากมายประดับไว้ในแผ่นดิน.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ