“วิทยา แก้วภราดัย” ค้านเนื้อหาร่างแก้รัฐธรรมนูญ ชี้ผิดเจตนารมณ์ฉบับประชาชน ดักทาง “อนุทิน” ยุบสภา ทิ้งปัญหาน้ำท่วม ชายแดน สแกมเมอร์
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา ให้สัมภาษณ์ถึงเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ กมธ. เสียงข้างมากพิจารณาแล้วเสร็จและเตรียมส่งให้ประธานรัฐสภาบรรจุเข้าสู่วาระพิจารณาในระหว่างวันที่ 10-11 ธันวาคม ว่า ส่วนตัวมองว่าเนื้อหาที่ กมธ. แก้ไขมานั้น ไม่ได้ทำให้มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจริง เพราะกลไกที่กำหนดให้มีคณะ กมธ. ร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน และ กมธ. รับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน จำนวน 35 คนนั้นมีที่มาจากรัฐสภาเป็นผู้เลือก ซึ่งตนมองว่าหากเป็นเช่นนั้นการแก้รัฐธรรมนูญควรแก้ไขเป็นรายมาตราให้รัฐสภาดำเนินการแทนจะดีกว่า เพื่อไม่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ คนที่มานั้นมีที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับเก่า (เช่น สส. มาจากการเลือกตั้งโดยรัฐธรรมนูญที่ถูกมองว่าเป็นเผด็จการ สว. ก็มาตามรัฐธรรมนูญเผด็จการ) ดังนั้น เมื่อไปเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ก็คือ หลานเผด็จการที่จะไปร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อเวียนกลับมา สภาแทนที่จะคิดให้ออกว่าแก้อะไร เสนอแก้รายมาตราตามที่ ตนอภิปรายว่าเหมือนเซ็นเช็คเปล่าไปให้ร่างทั้งหมด ดังนั้น เจตนารมณ์ที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนตามที่หวัง ก็ไม่ได้แล้ว
เปรียบเซ็นเช็คเปล่าไปร่างเอง ค้านแน่
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ส่วนการพิจารณาวาระสองและวาระสามนั้น ตนประเมินว่าจะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากพรรคภูมิใจไทย มีข้อตกลงทางการเมืองกับพรรคประชาชน เมื่อรวมกันแล้วจะได้เสียงข้างมาก ขณะที่ สว. เป็นที่รู้กันว่าเป็นของพรรคไหน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยสามารถกุมเสียง สว. แต่เมื่อผ่านไปแล้วเป็นหน้าที่ผู้สมัคร สส. ที่ต้องอธิบายให้ประชาชนฟัง ก่อนทำประชามติ แล้วจะอธิบายอย่างไรว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะเขียนอย่างไร และในเมื่อรัฐสภาเป็นคนเลือก คณะร่างรัฐธรรมนูญ สภาเขียนเองไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้นตนจะไม่เห็นชอบร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับที่รัฐสภาเตรียมพิจารณา
...
ส่วนกรณีการยุบสภาระหว่างที่พิจารณาแก้รัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จ นายวิทยา กล่าวว่า หากนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคม นั้น รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้อะไร ได้ยุบสภาอย่างเดียว หากยุบก่อน 25 ธันวาคม ก็ไม่ได้ เพราะยังไม่ผ่านวาระสาม ดังนั้นเวลานี้ความรู้สึกของประชาชนอยากเร่งรัดรัฐบาลเรื่องแก้ปัญหา 3 เรื่องหลักคือ
1. น้ำท่วมภาคใต้ รัฐบาลจะดูแลอย่างไร เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
2. ปัญหาชายแดน หากยุบสภา 12 ธันวาคม แล้วมีเหตุการณ์ที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ประกาศยกพลมา อะไรจะเกิดขึ้น เพราะการประกาศสงครามต้องใช้รัฐสภา เมื่อไม่มีรัฐสภา ต้องใช้วุฒิสภา เราพร้อมหรือไม่
3. ปัญหาสแกมเมอร์ ทุจริตข้ามชาติ ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเนื่องจากมีคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานและตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
“รัฐบาลควรทำเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จ ถ้าไม่ทำ ผมคิดว่ารัฐบาลลำบาก ถ้ายุบสภาวันที่ 12 ธันวาคม แล้วทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้ โดยรัฐบาลไปเผชิญหน้ากับการเลือกตั้ง ผมว่าคิดดูให้ดี ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากเกิดเหตุการณ์จลาจลในพื้นที่หาดใหญ่ จะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะปี 2518 น้ำท่วมที่ จ.นครศรีธรรมราช เกิดเหตุเผาจวนผู้ว่าฯ และปี 2531 มีการปิดป่า จนคนตาย 300-400 คน ดังนั้นขอให้เป็นบทเรียนที่รัฐบาลนำมาพิจารณาและทำให้เกิดความกระจ่าง”
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ตนมองว่าเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องทำ หากเล่นการเมืองมากกว่าปัญหาประชาชน เชื่อว่าจะกลับมาไม่ได้ ดังนั้นต้องแก้ปัญหาให้จบ รัฐบาลมาอย่างไร เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องรักษาของตัวเองไว้ให้ได้ หากไม่แก้อะไรเลย ทิ้งปัญหา ถ้าเกิดยุบสภาก่อน ขอถามว่าความปั่นป่วนจะเกิดอะไรขึ้น ใครมีอำนาจจริง ใครจะเชื่อว่าพวกคุณจะได้กลับมา ตอนนี้ได้สั่งการ แต่ตอนทำหน้าที่รักษาการ จะสั่งใครไม่ได้ ดังนั้นขอให้มากแก้ปัญหาดีกว่า เมื่อถึงเวลาผิดก็ไปว่าในสภา
เมื่อถามย้ำว่า นายอนุทิน เคยระบุว่าหากฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจะยุบสภาหนี นายวิทยา กล่าวว่า หนีก็หนีไป แล้วต้องหนีทั้งชีวิต แล้วจะกลับมาเผชิญหน้าเขาได้อย่างไร ถ้ากลับมาเขาเผาหาดใหญ่ทั้งหาดใหญ่ เผาบ้านผู้ว่าฯ แล้ว เพราะทุกอย่างมีบทเรียน ดังนั้นควรถอดบทเรียนในอดีตมาดู