ลีวณิชย์ เดินแผนตลาดปี 69 เตรียมโกยยอดขาย 650 ล้าน ส่ง 3 แบรนด์ Hi-Kool-Avery Dennison- Chemical Guy มัดใจผู้บริโภค ไม่หวั่นถูกสินค้าจีนตีตลาด
นางสาวชลิฏา วณิชชากรพงศ์ กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและการตลาด บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงแบรนด์ไฮ-คูล หรือ Hi-Kool กล่าวว่า ในปี 2569 สถานการณ์ตลาดฟิล์มกรองแสงจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่สภาวะตลาดชะลอตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ Covid-19 โดยคาดว่าบริษัทจะสร้างผลการดำเนินงานเติบโต 5% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 650 ล้านบาท จากปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีผลการดำเนินงานเติบโตประมาณ 2%
สำหรับแนวทางทำตลาดเพื่อสร้างการเติบโตในปี 2569 บริษัทจะเน้นการออกสินค้าใหม่ และทำตลาดสินค้าใหม่ที่ได้เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แบรนด์ Avery Dennison กลุ่มผลิตภัณฑ์ฟิล์มกันรอย ฟิล์มเปลี่ยนสีรถยนต์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา การเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรถยนต์แบรนด์ Chemical Guy สินค้าใหม่ในกลุ่มสินค้าฟิล์มกรองแสง อาทิ แบรนด์ First Class ซึ่งเป็นฟิล์มเซรามิคระดับพรีเมียมเพิ่มชั้นสะท้อนด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม แบรนด์ CM PRO ผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรมล่าสุดเทคโนโลยีกันความร้อนขั้นสุด
โดยปัจจุบันตลาดฟิล์มกันรอยเริ่มได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป จากเดิมจะอยู่ในกลุ่มรถหรูราคาแพง เช่นรถซูปเปอร์คาร์ แต่ปัจจุบันรถยนต์ระดับราคาล้านกว่าบาท ได้เริ่มหันมาแร๊ปรถยนต์เพื่อป้องกันรอยกันมากขึ้น ทำให้ตลาดขยายตัวมีมูลค่ากว่า 500-600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเน้นการทำตลาดแบรนด์ Avery Dennison ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างยอดรายให้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ในอนาคตอีก 2-3 ปีตั้งเป้าหมายว่าน่าจะทำยอดขายให้ได้ถึง 500 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นสร้างการรับรู้กับกลุ่มผู้บริโภค
...
ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรถยนต์แบรนด์ Chemical Guy ช่วงที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายเดิมยังไม่ได้ทำการตลาดอย่างจริงจัง แต่ยังสามารถสร้างฐานลูกค้าได้มาก หลังจากที่บริษัทได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จึงได้จัดตั้งทีมการตลาดเพื่อทำการตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังวางแผนนำสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมทั้งกลุ่มราคาสูงเพื่อจับตลาดไฮเอ็นด์ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และกลุ่มราคาระดับรองลงมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าเพื่อสอดคล้องกับกำลังซื้อ และแข่งขันกับราคาในตลาดด้วย
"แนวทางการทำตลาดในปี 2569 จะเน้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายช่องทางทำตลาด เช่น คาร์ดีเทลลิ่ง นอกจากร้านประดับยนต์ ส่วนแนวทางการสร้างแบรนด์และการรับรู้ ผ่านสื่อโฆษณา ยังมุ่งไปที่ ป้ายบิลบอร์ด สื่อทีวี การใช้กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ พรีเซนเตอร์ และการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเพื่อบอกต่อ และสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ เนื่องจากผู้บริโภคคนไทย 70-80% ยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้"
สำหรับภาพรวมตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ในปี 2568 ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัว จากความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งภาพรวมยอดขายรถยนต์ใหม่ลดลงถึง 27% โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์กระบะที่ยอดขายรถใหม่ลดลงถึง 40% ส่งผลให้ตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ได้รับผลกระทบตามมาด้วย ปัจจุบันตลาดรวมฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท จากก่อนหน้าที่เคยมีมูลค่าสูงถึง 2,400 ล้านบาท และบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 30%
"ปีนี้ตลาดรถยนต์ถือว่าหนักหน่วงมาก ปีนี้ยอดจำหน่ายรถตกลง ช่วง ม.ค.-ต.ค. ตกไป 26% เทียบกับปีที่แล้ว ยอดออกรถน้อย ฟิล์มก็หดตัวไปด้วย ที่ตกหนัก ๆ เป็นรถเชิงพาณิชย์ จากผลกระทบทั้งเศรษฐกิจไม่ดี หนี้เสียเยอะ ไฟแนนซ์ไม่ปล่อยสินเชื่อ"
ส่วนผลิตภัณฑ์ฟิล์มกรองแสงจากประเทศจีนที่เข้ามาทำตลาดในปัจจุบัน บริษัทไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า Hi-Kool การทำตลาดสร้างแบรนด์ และสื่อสารถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพของสินค้า รวมถึงการรับประกันสินค้านานถึง 7 ปี การใช้พรีเซ็นเตอร์ ดีเจเพชรจ้า ที่ช่วยสร้างการรับรู้และจดจำในแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
นายปฏิพล วณิชชากรพงศ์ กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย กล่าวว่า นอกจากตลาดภายในประเทศแล้ว บริษัทยังทำตลาดผลิตภัณฑ์ฟิล์มกรองแสงในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมาร์ ซึ่งประเทศที่มียอดขายเติบโตดี คือ ประเทศเมียนมาร์
ส่วนในสปป.ลาว ตลาดยังคงทรงตัว เนื่องจากมีสินค้าจีนเข้ามาทำตลาดจำนวนมาก และมีปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบ ส่วนในประเทศเวียดนามบริษัทเพิ่งได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และดีลเลอร์รถยนต์ คาดว่าในปีหน้าน่าจะมียอดขายเติบโตเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายตลาดไปยังดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากผ่านมามีลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าของบริษัทเข้าไปจำหน่าย
สำหรับการเข้าร่วมงานงาน Motor Expo 2025 ในปีนี้ถือว่าบริษัทได้รับการตอบรับที่ดี คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายฟิล์มเพื่อติดรถยนต์ได้ 350 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงปีที่แล้ว 10% เกินกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ ซึ่งการออกบูธในครั้งนี้บริษัทไม่ได้มุ่งเน้นยอดขายเป็นหลัก แต่เน้นการสร้างแบรนด์และการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจัดจำหน่าย