สว.สีน้ำเงินต้านหนัก แก้รัฐธรรมนูญตัดเสียง สว. 1 ใน 3 ห่วงเปิดช่องเผด็จการรัฐสภาคัมแบ็ก สส. โต้เดือด ด้าน “สว.ประเทือง” ถึงขั้นขู่ให้รอดู วาระ 3 กมธ. ฝั่งเพื่อไทย แจงเสียงข้างมากเขาใช้กันทั่วโลก


วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เมื่อเวลา 16.10 น. ในการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... ในวาระ 2 วันที่ 2 เพื่อพิจารณาในมาตรา 256/28 ที่มีสาระสำคัญคือ การพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาเสร็จแล้ว ให้ที่ประชุมรัฐสภาใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย โดยมติเห็นชอบของรัฐสภา ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา แตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา และมี สว. ร่วมให้ความเห็นชอบ 1 ใน 3 โดย สว.สีน้ำเงินขึ้นมาอภิปรายในทางเดียวกันคือ ให้คงเสียง สว. 1 ใน 3 ในการให้ความเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันการใช้เสียงข้างมากลากไป จนเกิดเผด็จการรัฐสภา และเป็นการยึดหลักการคำนึงถึงเสียงข้างน้อย โดยนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า การมีเสียง สว. 1 ใน 3 เห็นชอบแก้รัฐธรรมนูญ สร้างดุลยสภา 4 ด้าน คือ 1.ป้องกันเผด็จการรัฐสภา เป็นเบรกนิรภัยให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากมีพรรคการเมือง 2-3 พรรครวมเสียงได้มากกว่า 350 เสียงของ 2 สภา ทำให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องได้ง่าย สภาผู้แทนราษฎรเหมือนคันเร่ง วุฒิสภาเป็นเบรก หากตัดเสียง สว. 1 ใน 3 เท่ากับขับรถยนต์ที่มีแต่คันเร่ง แต่ไร้เบรก 2. เสียง สว. 1 ใน 3 ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นหลักประกันคุณภาพว่า การแก้กติกาประเทศผ่านหลักวิชาการ ไม่ใช่เพราะมติพรรคสั่ง 3.รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขยากกว่ากฎหมายทั่วไป เพื่อเสถียรภาพระบอบประชาธิปไตย 4.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญวางบรรทัดฐานถึง 4 ครั้งในราชกิจจานุเบกษาว่า ต้องมีเสียง สว. 1 ใน 3 ร่วมเห็นชอบแก้รัฐธรรมนูญ จึงมีผลผูกพันทุกองค์กร หัวใจสำคัญการแบ่งแยกอำนาจแตะต้องไม่ได้ การคงเสียง สว. 1 ใน 3 ไม่ใช่ขัดขวางแก้รัฐธรรมนูญ แต่คุ้มครองเสียงข้างน้อย

...


ด้านนางสาวรัชนีกร ทองทิพย์ สว. ในฐานะกรรมาธิการ ขอสงวนความเห็น ว่าการออกลงคะแนนให้ใช้วิธีเรียกชื่อ และลงคะแนนแบบเปิดเผย และเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ของรัฐสภา และ สว. ต้องเห็นด้วย 1 ใน 3 โดย สว. มาจากผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มอาชีพ ไม่ได้มาจากกลุ่มการเมือง ต้องยอมรับด้วยว่า สส. จะทำอะไรต้องลงตามมติพรรค แต่ สว. ไม่มี และมีอิสระจากทุกการเมืองทุกประเทศ ดังนั้นความจำเป็นของการร่างรัฐธรรมนูญต้องมีเสียง 1 ใน 3 ของ สว.


ขณะที่ นายขจิตร ชัยนิคม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายว่า สัจธรรมคือความจริง ความจริงคือสมาชิกรัฐสภามี 1 เสียงเท่ากัน ดังนั้นการใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภามีความชอบธรรมแล้ว ไม่ต้องอ้างความเป็นกลาง คุณเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางรู้อยู่แก่ใจ การกำหนดให้มีพรรคการเมืองเป็นการกำหนดตามรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นอย่ามาตัดสินแค่เสียง 1 ใน 3 ของ สว. มันไม่ยุติธรรม กับ 700 เสียงในสภา ขอยืนยันว่าเรื่องการให้ความเห็นชอบของการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องให้เสียงเกินกึ่งหนึ่งถูกแล้ว


ด้านนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า มาตรานี้มีการลงชื่ออภิปรายมากที่สุด ตนเองอยากจะวิงวอนเพื่อนสมาชิกมาสร้างประวัติศาสตร์ไปด้วยกัน อย่าให้ประชาชนมาตีตราว่าเป็นตัวถ่วงรัฐธรรมนูญ หากมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่รวบรวมเสียง สว. ไม่ได้ รธน.ฉบับใหม่ตกทันที ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็แก้ยากอยู่แล้ว จะไปตอบคนรุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างไร ที่ยังใช้ รัฐธรรมนูญที่ถูกร่างมาจากคณะรัฐประหาร จึงเรียกร้องให้นับเสียง สส. สว. 1 เสียงเท่ากัน เพราะสุดท้ายเมื่อร่างเสร็จจะเจอเจ้าของประเทศอยู่แล้ว คือ ประชาชน ในการทำประชามติ จึงขอเชื้อเชิญให้ สว. วางมือ และถูกจดจำว่าเป็นผู้มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เพราะเสียงประชาชนคือเสียงสุดท้ายที่ต้องเคารพอยู่ดี


นางสาวภิญญาพัชร์ ศันสนีย์ชีวิน สว. อภิปรายว่า การตัดอำนาจ สว. ลงมติเห็นชอบแก้รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ ทำให้เป็นการกลับมาของเผด็จการเสียงข้างมาก เหมือนเขียนเช็คเปล่าให้ผู้มีอำนาจใช้เสียงข้างมากผลักดันเนื้อหารัฐธรรมนูญ ทำลายความเป็นอิสระขององค์กรอิสระ อำนาจที่ปราศจากการตรวจสอบย่อมนำไปสู่การใช้อำนาจตามอำเภอใจ ยืนยัน สว. ไม่มีอะไรต้องรักษาอำนาจเพื่อตัวเอง เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบัน สว. ไม่มีทางกลับมาเป็น สว. ได้ เป็นได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต หากการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่รอบคอบ จะเปิดช่องให้คนมีอำนาจเปลี่ยนกติกาเพื่อตัวเอง การตัดกลไก สว. ในการกลั่นกรอง อาจทำให้วาระ 3 ที่เป็นวาระชี้ขาด ไม่สามารถผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาได้ ขอให้ทุกคนพิจารณาหลักการถ่วงดุลอำนาจให้รอบคอบ ก่อนถึงจุดชี้ขาดวาระ 3


ส่วนน.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า การมีเสียง สว. 1 ใน 3 เป็นอุปสรรคแก้รัฐธรรมนูญ การแก้รัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามอาณัติของประชาชน ไม่แก้ง่ายหรือยากเกินไป จนไม่สามารถแก้ไข ต้องฉีกทิ้งโดยคณะรัฐประหารเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆมา ปัญหา สว. คือ ที่มาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงขาดความชอบธรรมในฐานะตัวแทนประชาชน แต่การใช้เสียง สว. 1 ใน 3 เป็นความบิดเบี้ยวที่ถูกร่างโดยเนติบริกร และมาจากการรัฐประหาร การมอบอำนาจให้ สว. จึงไม่ใช่การถ่วงดุล แต่ขโมยอำนาจประชาชนไปให้กลุ่มก๊วนการเมือง ไม่อาจมอบอำนาจ 1 ใน 3 ให้ สว. ได้ การใช้เสียงรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งถือว่า ดีกว่าข้อเสนอ สว. ที่กินรวบอำนาจ ขอชวน สว. ร่วมแสดงจุดยืนว่า ไม่ได้เป็น สว. เพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ประชาชน


สส.-สว. โต้กันเดือด “สว.ประเทือง” ถึงขั้นขู่ให้รอดู วาระ 3 จะผ่านหรือไม่


จากนั้นนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้กล่าวอภิปรายว่า การให้สิทธิ 1 สิทธิ เท่ากัน เรียกว่าการถ่วงดุล อย่างได้สัดส่วน หาก นางสาวรัชนีกร บอกรังเกียจนักการเมือง อย่าลืม ว่า สว. ก็เป็นนักการเมือง

“ผมฟังท่านมานานแล้ว นิ้วชี้ที่ชี้คนอื่น แต่ลืม 4 นิ้วนั้นชี้มาที่ตัวเอง สุดท้าย ไม่มีอำนาจไหนที่ให้อำนาจผู้แทนใดมาจากอำนาจทางอ้อมมากมาย อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย และขอให้ สว. ยอมรับอำนาจแท้จริงมาจากประชาชน”


นางสาวรัชนีกร จึงขอใช้สิทธิพาดพิง ว่า ไม่เคยเอ่ยชื่อใครและต่อว่าใครเช่นนี้ ไม่เคยบอกว่าดิฉันไม่ใช่นักการเมือง แต่เพิ่งมาเป็นนักการเมือง แต่ดิฉันไม่ใช่นักการเมืองที่เป็นตลอดปีตลอดชาติ


จากนั้นนพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายว่า การที่กรรมาธิการ อ้างว่า สส. มองแต่คะแนนเสียง สว. มองแต่บ้านเมือง ขอให้กลับบ้านไปคิดเอาเอง ส่วนอีกท่าน บอกว่า สส. มองประโยชน์เฉพาะหน้า แต่ สว. ออกแบบมาให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ พูดอย่างนี้กำลังดูถูก สส. 500 คน ที่ประชาชนเลือกมา สส. ก็มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง เพียงแต่มารวมตัวกันเป็นพรรคการเมือง


จากนั้นในที่ประชุมได้เกิดการประท้วงไปมาระหว่างนายวิโรจน์ และนายพิสิษฐ์ อีกทั้งยังมี สส.อีกหลายคนลุกประท้วง จนทำให้นายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภาต้องห้ามปราบสมาชิก และวินิจฉัยให้นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.นครนายก พรรคประชาชน อภิปรายต่อ โดยนายจิรัฏฐ์ กล่าวย้ำว่าเสียงข้างมากต้องเคารพประชาชน ไม่ใช่เผด็จการยึดอำนาจเข้ามา


ทำให้นายประเทือง มนตรี สว. กล่าวประท้วง ว่า “ซ้ำซาก วนไปวนมา พวกท่านไม่ต้องคิดมาก ไปคิดคืนนี้ คิดว่าในวาระ 3 ถ้าทำอย่างนี้ ท่านคิดว่าจะได้เสียงจาก สว. หรือไม่ ขอให้ไปคิดตริตรองดูให้ดี”

นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า ขอให้อย่ากลัว และต้องเคารพเสียงข้างมากของระบอบประชาธิปไตยว่าเขาต้องการอะไร


กมธ. ฝั่งเพื่อไทย แจงเสียงข้างมากเขาใช้กันทั่วโลก


นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวชี้แจงว่า ไม่เห็นด้วยกับผู้สงวนแปรญัตติ ที่ให้คงไว้ สว. 1 ใน 3 หรือจำนวน 67 เสียง เพราะเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้การแก้รัฐธรรมนูญ อาจทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หยุดชะงัก จะเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนได้อย่างไร พร้อมยืนยันไม่ใช่การลดทอนอำนาจหรือการตรวจสอบถ่วงดุลของ สว. และยืนยันว่าหลักการเสียงข้างมากใช้กันทั่วโลกแต่ต้องไม่ละเมิดเสียงส่วนน้อย และการที่ สว. เป็นอิสระ ก็ไม่ได้รับประกันว่าปราศจากการเมืองครอบงำ


นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก กล่าวชี้แจง ว่า ต้องใช้เสียงข้างมากของรัฐสภา โดยไม่มีเสียง สว. 1 ใน 3 เพราะกติกาที่มีอยู่ทำให้เกิดเจตนาแก้รัฐธรรมนูญยากมากๆ เพราะคน 500 เสียง รวมเสียงกันได้ แต่ต้องมาติดเสียง สว. 134 เสียง จะเป็นผู้ปิดโอกาสประชาชน และมักอ้างว่าเป็นพวกมากลากไป แต่จริงๆ แล้วกับกลายเป็นว่า พวกน้อยลากไป ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ พร้อมยืนยันว่าต้องการให้ประเทศนี้ต้องการแก้รัฐธรรมนูญขนานใหญ่ เพื่อให้ประเทศพ้นจากการล้าหลัง และขอให้สมาชิกรัฐสภา ตัดสินใจครั้งนี้มีผลต่อการแก้รัฐธรรมนูญว่าจะสำเร็จหรือไม่

ขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก กล่าวชี้แจงว่า หากเดินหน้าตาม กมธ.เสียงข้างมาก ลงมติตามเสียงรัฐสภา จะต้องไปถามความเห็นชอบจากการทำประชามติของประชาชน ถึง 3 ครั้ง ก็ไม่แน่ใจว่ามีประเทศใดในโลกต้องทำประชามติถึง 3 ครั้ง แต่ตนเองก็เคารพ ดังนั้นอย่ามาใช้เวทีนี้ว่าใครเคารพเสียงประชาชนมากกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้วรัฐธรรมนูญนี้จะตอบโจทย์หรือไม่คือประชาชน ไม่ใช่เสียงจาก สส. หรือ สว.