สศช. เผยจ้างงานไตรมาส 3 ปี 68 หดตัว 0.5% จากผลกระทบน้ำท่วม คนรุ่นใหม่เมินภาคเกษตร ด้านหนี้ครัวเรือนเริ่มลดลงต่อเนื่อง ประเมินผลกระทบน้ำท่วม 16,000 - 29,000 ล้านบาท แนะภาครัฐเร่งหามาตรการเยียวยา

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ปี 2568 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.9 ล้านคน ลดลง 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาส 7 ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงงานรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพด้านการเกษตร และเคลื่อนย้ายไปทำงานในภาคเศรษฐกิจอื่นที่ได้รับผลตอบแทนมากกว่า ตลอดจนสถานการณ์อุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรเกือบ 2 แสนราย และพื้นที่การเกษตรกว่า 6.2 แสนไร่ ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 0.6% โดยสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้า สาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

สำหรับอัตราว่างงานในภาพรวมลดลง อยู่ที่ 0.76% หรือมีผู้ว่างงาน 3.1 ล้านคน ส่วนอัตราว่างงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 1.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 8.7% จากผู้เสมือนว่างงานในภาคเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น

...

ทั้งนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมระดับราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงาน และการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย

นางสาวอ้อนฟ้า ยังเปิดเผยถึงการขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 ปี ว่า สศช.ไม่มีข้อมูลดังกล่าวโดยตรง ซึ่งประเด็นนี้ทางสำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาการควบคุมการขยายอายุราชการโดยทั่วถึงหรือไม่ ขณะเดียวกันการขยายอายุราชการในกลุ่ม ผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลให้ตำแหน่งอื่นขาดแรงจูงใจในการทำงาน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้เลย ต้องดูผลกระทบอย่างครอบคลุม

ขณะที่หนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2 ปี 68 ลดลง 0.3% หรือมีมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท จากความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากครัวเรือนมีคุณภาพสินเชื่อลดลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ของไตรมาส 1 ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6

ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไปหรือ NPLs จากข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม 9.11% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือ SMLs ปรับลดลงเหลือ 3.18% จาก 4.25% เป็นผลจากมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะถัดไปหนี้เสียอาจมีแนวโน้มลดลง

ส่วนการปล่อยสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน หรือการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later - BNPL) ไตรมาสสาม ปี 68 ลดลง 0.3% และ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการโอนหนี้รายย่อยเข้าสู่ระบบ AMC เป็นมาตรการที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยลดระดับหนี้ครัวเรือน และปลดล็อกการปล่อยสินเชื่อให้สถาบันการเงินได้มากขึ้น แต่รัฐบาลและสื่อมวลชนจะต้องสื่อสารกับลูกหนี้ให้เข้าใจ และให้ติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ตามกรอบระยะเวลาโครงการ จึงจะสามารถบรรลุเป้าที่วางเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันการปล่อยสินเชื่อใหม่ หลังจากโอนหนี้เข้าสู่ระบบ AMC แล้วจะต้องพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีศักยภาพ ที่อยู่ในระบบซัพพลายเชน ของตลาดโลกและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งจะส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อใหม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามไปด้วย

ส่วนผลกระทบจากอุทกภัยในขณะนี้ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แม้การประเมินความเสียหายจะบอกตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ สศช. มีกรอบในการประเมินผลกระทบ หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย จะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือราว 16,000 ล้านบาท , หากกระทบเศรษฐกิจในระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อจีดีพี หรือราว 23,000 ล้านบาท และหากกระทบต่อเศรษฐกิจมาก จะกระทบราว 0.16% ต่อจีดีพี หรือราว 29,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ รวมถึงมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบจากอุทกภัย


อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม