ซีอีโอของบริษัท ฮุนได เปิดเผยว่า ทำเนียบขาวสหรัฐฯ กับผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย โทรศัพท์มาขอโทษเขา ต่อกรณีการบุกตรวจค้นโรงงานในรัฐจอร์เจียเมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งมีการจับกุมคนงานหลายร้อยราย

เมื่อวันพุธที่ 19 พ.ย. 2568 นายโฮเซ่ มูนญอซ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัท ฮุนได เปิดเผยว่า ทำเนียบขาวสหรัฐฯ โทรศัพท์หาเขาเป็นการส่วนตัว เพื่อขอโทษต่อกรณีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองบุกตรวจค้นโรงงานของบริษัทฮุนไดในรัฐจอร์เจีย และจับกุมแรงงานไปเป็นจำนวนหลายร้อยคนเมื่อเดือนกันยายน

ในการประชุมผู้นำธุรกิจ “Bloomberg New Economy Forum” ที่สิงคโปร์ นายมูนญอซกล่าวว่า ผู้ว่าการรัฐจอร์เจียก็โทรมาหาเขาเช่นกัน และกล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่อำนาจของรัฐ”

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายน มีการจับกุมคนงานชาวเกาหลีใต้มากกว่า 300 คน ในการบุกตรวจค้นโรงงานแบตเตอรี่ที่ดำเนินการโดยฮุนไดและบริษัทแอลจี (LG) ซึ่งเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับกรุงโซลตึงเครียดขึ้น

ภาพที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์และสื่อต่างๆ แสดงให้เห็นว่า ระหว่างการบุกตรวจค้น คนงานถูกบังคับให้นั่งกับพื้นโรงงานขณะที่เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจที่ขาของพวกเขา ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจอย่างหนักในเกาหลีใต้

หลังจากนั้น คนงานถูกกักตัวไว้นานกว่า 1 สัปดาห์ ในขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้จัดการเจรจาเร่งด่วนกับสหรัฐฯ และทำให้คนงานถูกส่งตัวกลับประเทศในเวลาต่อมา

นายมูนญอซอ้างว่า มีคนโทรศัพท์ไปแจ้งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และทำให้ดูเหมือนว่ามีผู้อพยพผิดกฎหมายอยู่ที่โรงงานในรัฐจอร์เจีย ซึ่งไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน

เขากล่าวเสริมว่า การบุกตรวจค้นครั้งนั้น เป็นเรื่องน่าประหลาดใจในทางที่ไม่ดี แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าในสหรัฐฯต่อไป

...

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาต่อต้านการบุกตรวจค้นดังกล่าวอย่างยิ่ง และว่าสหรัฐฯ มีความเข้าใจร่วมกับประชาคมโลก ถึงความจำเป็นในการนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเพื่อตั้งโรงงานเฉพาะทางและฝึกอบรมคนงานท้องถิ่น

อนึ่ง แม้ว่าการบุกตรวจค้นจะเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ แต่ทั้งสองประเทศก็ประกาศในเดือนตุลาคมว่า พวกเขาได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าในวงกว้างแล้ว โดยภายใต้ข้อตกลง ทั้งสองฝ่ายได้ลดภาษีตอบโต้กันจาก 25% เป็น 15% ขณะที่เกาหลีใต้ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 3.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : bbc