คณะกรรมการสืบสวนชี้ว่า รัฐบาล UK ลงมือทำน้อยและช้าเกินไป จนส่งผลให้ไวรัสโควิด-19 คร่าชีวิตคนเพิ่มขึ้นจากที่ควรจะเป็นอีกหลายหมื่นศพ ในช่วงการระบาดระลอกแรก
รายงานการสืบสวนเกี่ยวกับการตัดสินใจของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ในการรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ย. 2568 ระบุว่า การตอบสนองต่อโควิดของสหราชอาณาจักรนั้น “น้อยเกินไปและช้าเกินไป” นำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกหลายพันคนในช่วงระลอกแรกของการระบาด
รายงานระบุด้วยว่า รัฐบาลอาจสามารถหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการล็อกดาวน์ได้ หากมาตรการอาสาอย่างเช่น การเว้นระยะห่างในสังคม และการแยกเดี่ยวผู้มีอาการป่วยร่วมกับสมาชิกในครัวเรือน ถูกนำมาใช้ก่อนหน้าวันที่ 16 มี.ค. 2563
แต่เมื่อถึงตอนที่เหล่ารัฐมนตรีเริ่มเคลื่อนไหวมันก็สายเกินไปแล้ว และมาตรการล็อกดาวน์ก็กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป การใช้มาตรการที่ล่าช้าไป 1 สัปดาห์ นำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนในอังกฤษมากกว่าที่ควรจะเป็นอีก 23,000 ศพในการระบาดระลอกแรก
รายงานฉบับนี้ยังวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลของทั้งอังกฤษ, เวลส์, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ รวมถึงวัฒนธรรมที่วุ่นวายในรัฐบาลสหราชอาณาจักรด้วย
บารอนเนส ฮัลเลตต์ ประธานคณะกรรมการสืบสวนกล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากภายใต้ความกดดันอย่างยิ่งยวด แต่รัฐบาลทั้งสี่แห่ง ล้มเหลวในการตระหนักถึงขอบเขตของภัยคุกคาม หรือความเร่งด่วนของการตอบสนองที่จำเป็นในช่วงต้นปี 2563 รัฐมนตรีหลายคนเชื่อในการรับประกันผิดๆ ว่า สหราชอาณาจักรเตรียมพร้อมแล้ว
เลดี้ ฮัลเลตต์ กล่าวเสริมว่า นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลประเมินการแพร่ระบาดของไวรัสต่ำเกินไป และในช่วงแรกได้แนะนำว่าไม่ควรนำมาตรการจำกัดต่าง ๆ มาใช้ จนกว่าการแพร่กระจายของไวรัสจะใกล้ถึงจุดสูงสุด เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity)
...
รายงานซึ่งมีความยาวเกือบ 800 หน้าฉบับนี้ ซึ่งเป็นรายงานฉบับที่ 2 จากทั้งหมด 10 ฉบับ ที่คณะกรรมการสืบสวนวางแผนจะจัดทำ ยังได้ระบุถึงความล้มเหลวอื่น ๆ อีกหลายประการรวมถึง
ในช่วงเริ่มต้นของระบาดระลอกที่ 2 ช่วงฤดูใบไม้ร่วง รัฐบาลทำความผิดพลาดแบบเดียวกันกับการระบาดระลอกแรกในฤดูใบไม้ผลิปี 2563 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ และนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็เปลี่ยนใจเรื่องการใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายความว่ามาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 ถูกประกาศใช้หลังสถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมไปแล้วในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน
นอกจากนั้นยังมีการทำผิดกฎระเบียบของนักการเมืองและที่ปรึกษาของพวกเขา เช่น นายโดมินิก คัมมิงส์ ที่เดินทางไปเมืองเดอแรมและบาร์นาร์ด คาสเซิล ในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งทั้งทำลายความเชื่อมั่นที่สาธารณชนมีต่อการตัดสินใจของรัฐ และเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากที่ผู้คนจะไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่เข้มงวด
รายงานยังอธิบายถึงวัฒนธรรมที่ "เป็นพิษและวุ่นวาย" ในรัฐบาลกลางของสหราชอาณาจักรระหว่างการตอบสนองต่อการระบาดครั้งใหญ่ ซึ่งรายงานระบุว่าส่งผลกระทบต่อคุณภาพของคำแนะนำและการตัดสินใจ และรัฐบาลของทั้งสี่ประเทศถูกวิจารณ์เรื่องการวางแผนและการตัดสินใจ ซึ่งถูกขัดขวางโดยความไม่ไว้วางใจกันระหว่างนายจอห์นสัน กับผู้นำรัฐบาลของประเทศสมาชิกสหราชอาณาจักรอื่นๆ
โครงการ Eat Out to Help Out (ทานอาหารนอกบ้านช่วยชาติ) ซึ่งเสนอโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ริชี ซูนัค และได้รับการอนุมัติโดย จอห์นสัน เพื่อสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 นั้น "ถูกออกแบบขึ้นโดยไม่มีคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ" และ "บ่อนทำลายการสื่อสารข้อมูลด้านสาธารณสุข"
รัฐบาลยังไม่ได้พิจารณาผลกระทบของการระบาดที่มีต่อกลุ่มเปราะบางซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และ กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยบางกลุ่ม อย่างดีพอ ในการตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อไวรัสอย่างไร แม้ว่าอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาจะเป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้
ไม่เพียงเท่านั้น รายงานยังระบุว่า เด็ก ๆ ไม่ได้รับการให้ความสำคัญเพียงพอ โดยรัฐมนตรีล้มเหลวในการพิจารณาถึงผลที่ตามมาของการปิดโรงเรียนอย่างเหมาะสม
รายงานระบุว่า การล็อกดาวน์แม้จะช่วยชีวิตผู้คนได้ แต่ก็ทิ้งรอยแผลเป็นที่คงอยู่ยาวนานต่อสังคม โดยทำให้ชีวิตในวัยเด็กตามปกติหยุดชะงัก ชะลอการรักษาอาการป่วยที่ไม่เกี่ยวกับโควิด และทำให้ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมแย่ลง
แบบจำลองสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่จัดทำขึ้นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้มากถึง 23,000 คน หากมีการล็อกดาวน์เร็วขึ้นหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันที่ 23 มี.ค. 2563 ซึ่งเท่ากับลดจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงการระบาดระลอกแรกซึ่งนับจนถึง 1 ก.ค. 2563 ลงถึง 48%
แต่รายงานไม่ได้บ่งชี้ว่า ยอดรวมผู้เสียชีวิตตลอดการระบาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ที่ 227,000 ศพ ณ เวลาที่ประกาศว่าการระบาดสิ้นสุดในปี 2023 จะลดลงมากน้อยเพียงใด เนื่องจากเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่หลากหลาย ซึ่งอาจลดหรือเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงการระบาดได้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสืบสวนชื่นชมรัฐบาลสำหรับการดำเนินโครงการฉีดวัคซีนที่ "น่าทึ่ง" และการที่พวกเขายกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มเปราะบางได้รับวัคซีน ซึ่งคณะกรรมการฯ มองว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนของสหราชอาณาจักร
รายงานได้เสนอแนะข้อเสนอแนะที่แตกต่างกันหลายประการ ซึ่งรวมถึง รัฐบาลควรพิจารณาถึงผลกระทบที่การตัดสินใจอาจมีต่อ กลุ่มเสี่ยงที่สุด อย่างรอบด้านมากขึ้น ทั้งจากตัวโรคเองและจากมาตรการที่นำมาใช้เพื่อตอบสนองต่อโรค
ควรขยายการมีส่วนร่วมในกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่ากลุ่ม “Sage” ซึ่งรวมถึงผู้แทนจากรัฐบาลท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
...
คณะกรรมการฯ ยังแนะนำให้รัฐบาลปฏิรูปและชี้แจงโครงสร้างการตัดสินใจในช่วงภาวะฉุกเฉินของแต่ละประเทศภายในสหราชอาณาจักร และปรับปรุงการสื่อสารระหว่างสี่ประเทศในช่วงภาวะฉุกเฉินให้ดียิ่งขึ้น
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc