กรมประมงเผยความคืบหน้าสถานการณ์ปลาหมอคางดำ หลังดำเนินมาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลการสำรวจล่าสุดในเดือนกันยายน 2568 พบว่า พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดลดลงเหลือ 17 จังหวัด จากเดิม 19 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี, ระยอง, ฉะเชิงเทรา, สมุทรปราการ, นนทบุรี, กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, ราชบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, สงขลา, ชลบุรี, พัทลุง และปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันระดับความชุกชุมของประชากรปลาหมอคางดำในทุกพื้นที่มีแนวโน้มลดลง โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางและน้อย
ผลการสำรวจนี้สะท้อนถึงความสำเร็จของการบริหารจัดการที่กรมประมงและภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ซึ่งยังคงเดินหน้าดำเนินการตามแผนงาน 7 มาตรการหลักอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมประชากรและส่งเสริมการใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำ

แนวโน้มการแพร่ระบาดที่ลดลง
“จากการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ที่พบปัญหามาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 จังหวัดพัทลุงและปราจีนบุรีไม่พบการแพร่ระบาดแล้ว ส่งผลให้พื้นที่พบการแพร่ระบาดลดลงเหลือ 17 จังหวัด ขณะที่จังหวัดตราดและปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่กันชนสำคัญสำหรับการเฝ้าระวัง ยังคงไม่พบการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำเช่นเดิม”
...
นางสาวทิวารัตน์ เถลิงเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านการประมงน้ำจืด กรมประมง เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในงานเสวนา "น้องหมอคางดำ พระเอก? หรือผู้ร้าย?" ว่า ทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นระบบนิเวศสำคัญของภาคใต้ตอนล่าง ก็ยังคงไม่พบการแพร่ระบาดมาโดยตลอด


ระดับความชุกชุมและการกำจัด
กรมประมงใช้เกณฑ์ชี้วัด "จำนวนปลา" ต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร ในการประเมินระดับความชุกชุม โดยพบว่าผลการสำรวจในเดือนกันยายนที่ผ่านมา 8 จังหวัดอยู่ในระดับปานกลาง และ 9 จังหวัดอยู่ในระดับน้อย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลดลงของประชากรปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ สำหรับมาตรการควบคุมและกำจัดตามแผนบูรณาการ 7 มาตรการนั้น กรมประมงสามารถกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบนิเวศรวมกว่า 7.35 ล้านกิโลกรัม โดยแบ่งเป็นการกำจัดในแหล่งน้ำธรรมชาติประมาณ 2.5 ล้านกิโลกรัม และในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำประมาณ 4.8 ล้านกิโลกรัม

รายละเอียดการขับเคลื่อน 7 มาตรการหลัก
การดำเนินงานควบคุมปลาหมอคางดำครอบคลุมการจัดการทั้งในเชิงกายภาพ ชีวภาพ การบริหารจัดการ และการวิจัย เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การกำจัดปลาหมอคางดำ เป็นมาตรการเร่งด่วนที่มุ่งเน้นการลดประชากรปลาออกจากระบบนิเวศโดยตรง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ปริมาณปลาที่ถูกกำจัดออกไปมีจำนวนรวมสูงถึง 7.35 ล้านกิโลกรัม

...
2. การควบคุมโดยชีววิธี คือการใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ โดยมีการปล่อยปลาผู้ล่า ซึ่งเป็นสัตว์น้ำพื้นถิ่นที่มีศักยภาพในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำรวมกว่า 1.14 ล้านตัว ทั้งปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน และปลาเทพา ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้เกษตรกรเลี้ยงปลาเหล่านี้ในบ่อเพาะเลี้ยง
3. การควบคุมการเลี้ยงและการแพร่กระจาย เป็นมาตรการเชิงบริหารที่มุ่งเน้นการตัดวงจรการแพร่ระบาดและป้องกันการกระจายของปลาหมอคางดำไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เพื่อรักษาพื้นที่ปลอดการแพร่ระบาดไว้

4. การส่งเสริมการใช้ประโยชน์ ปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มมูลค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยส่งเสริมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เช่น ปลาป่น น้ำหมักชีวภาพ และการนำมาปรุงเป็นเมนูอาหาร

...
5. การสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม เป็นการสร้างความตระหนักรู้และขอความร่วมมือจากชุมชนและภาคประชาชน โดยได้พัฒนาระบบเฝ้าระวังเชิงรุก ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งพบปลาหมอคางดำได้แบบเรียลไทม์ และมีทีมงานเข้าตรวจสอบและควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
6. การวิจัยและพัฒนาวิธีการควบคุมในระยะยาว กรมประมงเดินหน้าศึกษาและวิจัยเพื่อหาวิธีการควบคุมประชากรในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการศึกษาชุดโครโมโซม 4n เพื่อพัฒนาเทคนิคการทำให้ปลาหมอคางดำเป็นหมัน ซึ่งถือเป็นอีกแนวทางที่มีศักยภาพสูงในการจัดการในระยะยาว

7. การฟื้นฟูระบบนิเวศ เป็นมาตรการสุดท้ายที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการคืนสมดุลให้แหล่งน้ำ โดยมีการปล่อยสัตว์น้ำพื้นถิ่นและสัตว์น้ำชายฝั่งกลับคืนสู่ธรรมชาติรวมกว่า 82 ล้านตัว ทั้งปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลานวลจันทร์ทะเล หอยหวาน หอยตลับ หอยลาย และปูม้า เพื่อเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพให้กลับคืนมา

...
“ข้อมูลล่าสุดทั้งหมดนี้ยืนยันว่ามาตรการควบคุมปลาหมอคางดำของกรมประมงกำลังสร้างผลลัพธ์ในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงร่วมมือกับชุมชน เกษตรกร และเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อควบคุมสถานการณ์และฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเป็นระบบและยั่งยืน” นางสาวทิวารัตน์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย