ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ระบุว่า ยูเครนพร้อมทำงานร่วมสหรัฐฯ "อย่างตรงไปตรงมา" หลังได้รับร่างแผนยุติสงครามกับรัสเซีย ซึ่งรายงานจากสื่อสหรัฐฯ ระบุว่าแผนดังกล่าวเสนอให้ยูเครนยอมสละพื้นที่ในดอนบาสที่ตนยังควบคุม ลดกำลังทหารเหลือ 600,000 นาย และให้คำมั่นว่าจะไม่เข้าร่วมองค์การนาโต โดยยุโรปจะประจำการฝูงบินรบไว้ในโปแลนด์

ทำเนียบขาวยืนยันว่าได้หารือ "กับทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม" ขณะที่ฝ่ายยูเครนออกแถลงการณ์ว่าเห็นพ้องจะทำงานบนพื้นฐานของร่างแผนเพื่อให้เกิด "การยุติสงครามอย่างเป็นธรรม" 

สำนักข่าวหลายแห่งในสหรัฐฯ รายงานว่า ภายใต้ร่างแผนดังกล่าว รัฐบาลยูเครนจะต้องยอมสละพื้นที่บางส่วนของภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกของยูเครนที่ยังคงควบคุมอยู่ สำนักข่าว Financial Times และ Axios ได้เผยแพร่ร่างแผนดังกล่าวฉบับเต็ม ซึ่งมีรายงานว่า กองทัพยูเครนจะถูกจำกัดกำลังพลไว้ที่ 600,000 นาย แต่จะมีเครื่องบินรบจากยุโรปไปประจำการในโปแลนด์

ร่างแผนดังกล่าวยังระบุเสนอให้รัสเซียถูกผนวกรวมกลับสู่เศรษฐกิจโลกผ่านการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และกลับเข้ากลุ่ม G7 เป็น G8 อีกครั้ง ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าเอื้อประโยชน์ต่อรัสเซีย

เซเลนสกีคาดว่าจะพูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในไม่กี่วันข้างหน้า หลังสหรัฐฯ ยืนยันว่าแผนนี้ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี โดยนายสตีฟ วิตคอฟ ทูตพิเศษของสหรัฐฯ และนายมาร์โก รูบิโอรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ใช้เวลาราวหนึ่งเดือนจัดทำข้อเสนอนี้ร่วมกับทั้งสองฝ่าย แหล่งข่าวอาวุโสของสหรัฐระบุว่า นายรุสเตม อูเมรอฟ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนเห็นชอบในเนื้อหา "ส่วนใหญ่" ของร่างแผนแล้ว

อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปเผยว่าไม่รับรู้ต่อกระบวนการจัดทำร่าง ขณะที่นายดมิตรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย ลดทอนความสำคัญของแผน โดยย้ำว่าข้อตกลงสันติภาพใด ๆ ต้องแก้ไข "รากเหง้าของความขัดแย้ง" ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องเชิงสุดโต่งที่ยูเครนมองว่าไม่ต่างจากการยอมจำนน

...

ความเคลื่อนไหวยังเกิดขึ้นเมื่อผู้นำกองทัพสหรัฐฯ เดินทางเข้าพบนายเซเลนสกีในกรุงเคียฟ ขณะที่เซเลนสกีย้ำว่า ยูเครนต้องการ "สันติภาพที่คู่ควร" และความศักดิ์ศรีของประชาชนต้องได้รับการเคารพ

นายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ  ระบุว่า "อนาคตของยูเครนต้องถูกกำหนดโดยยูเครนเอง" ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ย้ำความมั่นคงของพันธมิตรสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น และหลักการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมด้วยกำลัง

ในสนามรบ ความรุนแรงยังดำเนินต่อไป เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (20 พ.ย.) รัสเซียโจมตีเมืองซาโปลิเชีย คร่าชีวิตอย่างน้อย 5 คน และในหลายภูมิภาคของรัสเซียมีการสกัดโดรนยูเครนกว่า 33 ลำ ขณะที่ก่อนหน้านี้การโจมตีเตร์โนปิลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และสูญหายอีก 17 คน ท่ามกลางความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นในปีที่ 4 ของการรุกรานครั้งใหญ่ของรัสเซีย.


ที่มา BBC