จับตาชายแดนเหนือ เดือนเดียวยึดยาบ้า-ไอซ์ เพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ นบ.ยส.35 สั่งใช้เทคโนโลยียกระดับยุทธการ กดดัน 25 อำเภอเส้นทางลำเลียงยาเสพติด


วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 พล.ท.วรเทพ บุญญะ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ หรือ นบ.ยส.35 ร่วมประชุมขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ 2569 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจปราบปรามยาเสพติด, หน่วยทหารกองทัพภาคที่ 3 และ กองกำลังป้องกันชายแดน ตลอดจนฝ่ายปกครอง 6 จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน และ ตาก ครอบคลุมเส้นทางลำเลียงสำคัญใน 25 อำเภอ เพื่อยกระดับการข่าวให้เข้มข้นขึ้น มุ่งสืบเสาะแหล่งผลิตเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการทำลายฐานการผลิต ตัดเส้นทางขยายผลจับกุมถึงผู้ค้ารายใหญ่ และยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อทำลายโครงสร้างเครือข่ายอย่างเป็นระบบ

แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้มีการจับกุมยึดของกลางยาเสพติดได้กว่า 40 ครั้ง ยึดยาบ้าได้ถึง 73 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,447 กิโลกรัม รวมทั้งยังยึดยาเสพติดอื่น ๆ ได้อีกจำนวนมาก ทั้งคีตามีน 155 กิโลกรัม เฮโรอีน 61 กิโลกรัม และยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 46 ล้านบาท

...

ในช่วงหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา พบว่ายึดของกลางยาบ้าได้เพิ่มกว่า 100 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับไอซ์ที่เพิ่มขึ้น 95 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลำเลียงยาเสพติดจากแหล่งผลิตเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของประเทศที่มีมากขึ้น

โดยแผนปฏิบัติการในปี 2569 จะมีการยกระดับยุทธการให้เข้มข้นกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ยาเสพติดที่มีความซับซ้อนและวิธีลักลอบที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรนระบบตรวจจับกลางคืน กล้องเฝ้าระวังในจุดเสี่ยง เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ มาเสริมศักยภาพ รวมทั้งการขยายผลเข้าถึงเครือข่ายตอนในและการเสริมบทบาทชุมชนผ่านเครือข่ายแจ้งเตือน รวมถึงการสร้างหมู่บ้านปลอดภัย มุ่งเน้นสามประเด็นสำคัญ คือ การสกัดกั้นเชิงรุกให้ทันต่อสถานการณ์ การทำลายเครือข่ายตั้งแต่ผู้ลำเลียงจนถึงผู้อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้โครงสร้างค้ายาเสพติดล่มสลายอย่างยั่งยืน และการบูรณาการความร่วมมือของทุกหน่วยงานร่วมกับภาคประชาชน เป้าหมายสูงสุดคือการลดการนำเข้ายาเสพติดตั้งแต่ต้นทาง ผ่านข้อมูลข่าวกรองที่แม่นยำและการปฏิบัติการเชิงลึก เพื่อสร้างแนวป้องกันชายแดนที่มั่นคงและปลอดภัยกว่าเดิม

ทั้งนี้พบว่าสถานการณ์ยาเสพติดในประเทศ ยังคงรุนแรงและมีความต้องการสูงขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้ค้า ผู้เสพ และนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่และจังหวัดท่องเที่ยว ทำให้พื้นที่ตอนในยังคงเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มขบวนการ ขณะที่เครือข่ายค้ายาเสพติดพัฒนาวิธีลำเลียงให้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนยาจากแหล่งพักชายแดนเข้าสู่เมือง การซุกซ่อนผ่านโลจิสติกส์ รถรับจ้าง และการอำพรางรูปแบบต่างๆ ที่ตรวจจับได้ยากขึ้น ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญความท้าทายมากกว่าเดิม จึงจำเป็นต้องอาศัยพลังร่วมจากหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หน่วยท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นอย่างเป็นระบบ

...

การจับกุมที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น จึงต้องเร่งขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุกในทุกด้านและเดินหน้าตัดวงจรเครือข่ายในประเทศผ่านการตรวจสอบเส้นทางการเงินและขยายผลถึงผู้สนับสนุนทุกระดับ พร้อมดึงประชาชนในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการแจ้งเตือนและเฝ้าระวังในชุมชน เพื่อทำลายศักยภาพของขบวนการค้ายาเสพติดอย่างเป็นระบบ