เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เรียกร้องทั่วโลกยุติความรุนแรงต่อสตรี เนื่องในวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล 25 พฤศจิกายนของทุกปี

ฯพณฯ ดร.  อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เขียนบทความสื่อสารถึงผู้คนทั่วโลก ให้ช่วยกันยุติการใช้ความรุนแรงต่อสตรี  ในโอกาสที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 เพื่อรำลึกถึงการสังหารบุตรสาวสามคนของตระกูลมิราบัลในสาธารณรัฐโดมินิกันอย่างโหดเหี้ยมในปี 2503 เรื่องราวของพวกเธอที่กล้าลุกขึ้นต่อต้านระบอบการปกครองที่ใช้ความรุนแรง ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และการเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติ ทั้งยังย้ำเตือนว่าความรุนแรงต่อสตรีไม่เพียงแต่เป็นโศกนาฏกรรมส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นความล้มเหลวของสังคมที่จำต้องมีการแก้ไขร่วมกันแม้จะมีการรณรงค์ทั่วโลกมานานกว่าสองทศวรรษ แต่สถิติก็ยังคงน่าตกใจ รายงานขององค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติระบุว่า จากข้อมูลล่าสุด มีสตรีและเด็กผู้หญิงถูกสังหารโดยคู่รักหรือสมาชิกในครอบครัวเฉลี่ยวันละ 140 คน ซึ่งหมายความว่ามีสตรีหรือเด็กผู้หญิงหนึ่งคนถูกฆาตกรรมทุกๆ 10 นาที ในสถานที่ที่ควรจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือบ้านของพวกเธอ

...


ในอิสราเอล สตรีราว 20 ถึง 25 คนถูกฆาตกรรมในแต่ละปีโดยผู้ชายที่ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นบิดา สามี หรือคู่รัก สำหรับประเทศไทย ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แสดงให้เห็นว่า มีความรุนแรงในครอบครัวหลายร้อยคดีในแต่ละปี และองค์กรภาคประชาสังคมได้เตือนว่า ยังมีอีกความรุนแรงอีกจำนวนมากที่ไม่มีการรายงานในประเทศอื่นๆ  รูปแบบที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่กรณีเฉพาะ แต่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมกันที่หยั่งรากลึก อคติ และความไม่สมดุลของอำนาจที่มีอยู่ในทุกๆ สังคมและวัฒนธรรมทั่วโลกความรุนแรงต่อสตรีมีหลายรูปแบบ ทั้งทางร่างกาย ทางเพศ ทางจิตใจ หรือทางเศรษฐกิจ ทว่าในช่วงสงครามหรือเวลาที่มีความขัดแย้ง ภัยคุกคามจะทวีความรุนแรงขึ้น ในอดีต ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าสลดใจ ตั้งแต่การข่มขืนหมู่ในช่วงสงครามของอดีตยูโกสลาเวียและรวันดา ไปจนถึงภัยคุกคามที่ยังคงดำเนินอยู่ในเมียนมา ซูดาน และยูเครน จะเห็นได้ว่า เมื่อใดที่เกิดขัดแย้ง ร่างกายของสตรีก็จะกลายเป็นสนามรบไปด้วยเช่นกัน

ศ. ดร. บุษกร บิณฑสันต์ อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ. ดร. บุษกร บิณฑสันต์ อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศ. ดร. บุษกร บิณฑสันต์ อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ. ดร. บุษกร บิณฑสันต์ อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สำหรับอิสราเอลนั้นความจริงอันโหดร้ายนี้ปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ระหว่างการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายฮามาสในอิสราเอล สตรีถูกข่มขืน ทรมาน และสังหารอย่างป่าเถื่อน มีการบันทึกเรื่องความรุนแรงทางเพศโดยเหยื่อผู้รอดชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ การทำร้ายร่างกายดังที่กล่าวมานี้ไม่เพียงแต่เป็นอาชญากรรมต่อชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและสตรีทั่วโลกอีกด้วยอย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนิ่งเฉยขององค์กรสิทธิสตรีหลายแห่ง สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง สำหรับดิฉันในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง การนิ่งเฉยนี้เป็นการทรยศต่อสตรีด้วยกันอย่างเจ็บปวด หลักการสากลที่เป็นพื้นฐานของการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีไม่ควรขึ้นอยู่กับบริบททางการเมือง ความรุนแรงคือความรุนแรง การข่มขืนคือการข่มขืน ไม่ว่าในสถานการณ์หรือเหตุผลใด สตรีไม่ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมหรือเมินเฉยเช่นนี้ การปฏิเสธความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อสตรีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ไม่เพียงแต่เป็นการทรยศต่อเหยื่อเท่านั้น แต่ยังทำลายการเคลื่อนไหวในระดับโลกเพื่อต่อต้านความรุนแรงทางเพศด้วย ความเห็นอกเห็นใจแบบเลือกปฏิบัติบั่นทอนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของประชาคมโลก การละสายตาจากสตรีบางคนเพียงเพราะว่าเธอเป็นใครหรืออยู่ที่ใด ย่อมเป็นการส่งสัญญานให้ผู้กระทำความผิดทราบว่ามีเหยื่อบางรายที่มีความสำคัญน้อยกว่าขบวนการ #MeToo ซึ่งเริ่มต้นจากเสียงกระซิบและกลายเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่วโลก สอนให้รู้ว่าความเงียบคือการปกป้องผู้กระทำผิด ขบวนการนี้ทำให้ผู้หญิงทั่งโลกกล้าที่จะพูด เชื่อใจซึ่งกันและกัน และเรียกร้องความรับผิดชอบ พลังของขบวนการนี้อยู่ที่ความเป็นสากล ยืนกรานว่า จากฮอลลีวูด ถึงกรุงเทพฯ ไปจนถึงเทล อาวีฟ ไม่ควรมีใครอยู่เหนือหลักศีลธรรมที่ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

...

ดร. เมทินี พงษ์เวช เลขาธิการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ
ดร. เมทินี พงษ์เวช เลขาธิการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

ดร. เมทินี พงษ์เวช เลขาธิการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ
ดร. เมทินี พงษ์เวช เลขาธิการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ


ขณะที่เรารำลึกถึงความสำคัญของวันนี้ ความรับผิดชอบของเราก็ชัดเจน รัฐบาล ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน และเราทุกคนในฐานะปัจเจกบุคคล ต้องร่วมมือกันต่อสู้กับความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือในสมรภูมิรบ เราต้องปลูกฝังเด็กชายและผู้ชายให้เคารพผู้หญิง ให้เห็นว่าสตรีก็เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เราต้องออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองเหยื่อด้วยความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงการลงโทษผู้กระทำผิดโดยไม่มีข้อยกเว้นเราต้องยืนหยัดต่อต้านมิให้ความรุนแรงทางเพศเป็นเรื่องปกติที่นำเสนอทางสื่อสาธารณะ สื่อดิจิตัล และวาทกรรมทางการเมือง การต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของสตรีนั้น ต้องไม่แยกออกจากการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และสันติภาพ เรื่องราวของพี่น้องมิราบัลทำให้เห็นว่า ความกล้าหาญสามารถสร้างแรงบันดาลใจ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้  คำบอกเล่าของผู้หญิงในอิสราเอล ในประเทศไทย และจากทั่วโลก ย้ำเตือนเราว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด 

...

ฯพณฯ ดร. อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และวิทยากร
ฯพณฯ ดร. อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และวิทยากร

ฯพณฯ ดร. อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และวิทยากร
ฯพณฯ ดร. อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และวิทยากร


อย่างไรก็ตาม ขอให้เรามั่นใจว่า เด็กหญิงผู้รุ่นต่อๆ ไปในอนาคต จะเติบโตในโลกที่ความกลัวถูกแทนที่ด้วยเสรีภาพ และความเมินเฉยถูกแทนที่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เมื่อเรายืนหยัดร่วมมือกัน โดยไม่มีพรมแดน ศาสนา และอุดมการณ์มาเกี่ยวข้อง เรากำลังยืนยันความจริงอันเรียบง่ายและเป็นสากล นั่นคือ สตรีทุกคนคู่ควรกับการมีชีวิตที่ปราศจากความรุนแรง และการปกป้องสิทธิสตรีจะทำให้สังคมโลกแข็งแกร่งยิ่งขึ้น.