“นิกร” ยืนยัน พรรคชาติไทยพัฒนายังคงอยู่ ดึง “กัญจนา ศิลปอาชา” กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค เจ้าตัวยินดีและตอบรับแล้ว พร้อมเผย 4 เหตุผลสำคัญที่ “วราวุธ” พา สส. ซบภูมิใจไทย
เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา แถลงข่าวภายหลัง นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดตัวขน สส. ร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายวราวุธ ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงและทิศทางในอนาคตของพรรคชาติไทยพัฒนา โดยปรากฏการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่การยุบพรรค หรือ การล่มสลายของพรรคชาติไทยพัฒนา แต่เป็นการปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่เพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าพรรคชาติไทยพัฒนาจะยังคงดำรงสถานะความเป็นพรรคการเมืองและสถาบันทางการเมืองสืบต่อไป โดยทางพรรคเตรียมเสนอชื่อ นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรค ให้หวนกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาอีกครั้ง เพื่อทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการรักษาบ้านหลังเดิมที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และสมาชิกอาวุโสในอดีตได้สร้างไว้ ให้ยังคงเป็นที่พึ่งทางใจของสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาและประชาชนทั่วไปที่ยังศรัทธาอยู่

...

สำหรับเหตุผลและความจำเป็นสำคัญที่ต้องตัดสินใจไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย จำแนกเป็นประเด็นหลัก 4 ประการ ดังนี้
1. การก้าวข้ามข้อจำกัดของพรรคขนาดเล็ก ที่ผ่านมาการดำเนินงานในฐานะพรรคขนาดเล็กถึงขนาดกลางต้องเผชิญกับอุปสรรคเชิงโครงสร้างมหาศาล โดยเฉพาะกติกาการเลือกตั้งและการคำนวณคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ (บัญชีรายชื่อ) ที่ทำให้พรรคเสียเปรียบและยากที่จะรวบรวมเสียงให้ได้จำนวน สส. ที่มากพอจะเป็นพลังหลักในการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านนิติบัญญัติ เพราะการที่รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้การเสนอญัตติเสนอร่างกฎหมายเพื่อประชาชนในนามพรรคต้องมี สส. ไม่น้อยกว่า 20 คนลงนาม ซึ่งที่ผ่านมาพรรคมีจำนวนไม่ถึง ทำให้ไม่สามารถเสนอกฎหมายใดๆ ได้เอง ต้องคอยขอเสียงจากพรรคอื่นในการเสนอกฎหมาย
2. อุปสรรคทางด้านการทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาปากท้องและความเดือดร้อนของประชาชน ปัญหาที่สำคัญที่สุดของคนทำงานทางการเมือง คือ การเห็นประชาชนเดือดร้อนแต่ไร้อำนาจจะช่วยเหลือ และยิ่งไปกว่านั้นในยามวิกฤตที่พี่น้องประชาชนประสบภัยพิบัติ น้ำท่วม หรือราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ เสียงของพรรคเล็กมักไม่ดังพอที่จะเร่งรัดมาตรการเยียวยาหรือจัดงบประมาณเข้าแก้ไขได้อย่างทันท่วงที การไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคใหญ่ จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้จริงได้ทันการณ์เป็นรูปธรรม
3. อุดมการณ์ร่วมในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเลือกพรรคภูมิใจไทย คือ จุดยืนที่ตรงกันกับพรรคชาติไทยพัฒนาอย่างแน่วแน่ในการเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การผนึกกำลังกันครั้งนี้จะทำให้กำแพงแห่งความจงรักภักดีมีความเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อธำรงไว้ซึ่งศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
4. การร่วมสร้างภารกิจประวัติศาสตร์ คือ รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน นายบรรหาร อดีตหัวหน้าพรรค เคยสร้างตำนาน รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งเป็นฉบับที่มาจากประชาชนมากที่สุด การย้ายไปร่วมงานครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญคือการขอการสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทยที่มีฐานเสียงในสภาจำนวนมาก เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับใหม่ให้สำเร็จ ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาไม่สามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้โดยลำพังอย่างแน่นอน
นายนิกร ระบุต่อไปว่า การไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย เปรียบเสมือนการกลับไปพบปะคนกันเอง เพราะในพรรคภูมิใจไทยเต็มไปด้วยอดีตสมาชิกพรรคชาติไทยดั้งเดิมหลายท่าน ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขและทำงานการเมืองเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ความสัมพันธ์แบบรู้มือรู้ใจนี้ จะทำให้การเชื่อมต่อนโยบายและการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาปรับตัว

“คำถามว่าแล้วที่นี่จะเป็นอย่างไร ขอยืนยันว่าพรรคชาติไทยพัฒนายังคงอยู่ต่อไป เมื่อมีการยุบสภา ขุนพลเราจะย้ายไปพรรคภูมิใจไทย เรายังมีสมาชิกพรรค โดยเราได้ทาบทาม คุณกัญจนา ศิลปอาชา กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคในการประชุมใหญ่ที่จะมาถึง และได้ตอบรับแล้วว่ายินดีจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ยืนยันว่าพรรคชาติไทยพัฒนาจะยังดำรงอยู่ ไม่มียุบ”
เมื่อถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะยังส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งแข่งขันในนามพรรคชาติไทยพัฒนาหรือไม่ นายนิกรกล่าวว่า ตนตอบแทนไม่ได้ เพราะหากมีการยุบสภาคาดว่า นายวราวุธ หัวหน้าพรรค และ สส.ของพรรคชาติไทยพัฒนา จะพาคนเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาขณะนั้น ต้องมีการประชุมใหญ่สามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จึงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่จะตอบในเรื่องนี้ ซึ่งคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร