กองทัพไทย ประณามกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตแล้ว 3 ราย กำลังพลสูญเสียรวม 9 นาย บาดเจ็บกว่า 120 นาย

ความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ธันวาคม 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก โดยพลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสรุปสถานการณ์ภาพรวม เหตุการณ์ปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชา ว่า กองทัพยังคงยืนยันในหลักการปฏิบัติด้วยความชอบธรรมและหลักมนุษยธรรม ซึ่งความขัดแย้งครั้งนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างกองกำลังที่อยู่ตามพื้นที่ชายแดน พลเรือนไม่เกี่ยวข้อง แต่กองทัพไทยพร้อมดูแลปกป้องความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเต็มที่

ส่วนความโปร่งใสของข้อมูลการปฏิบัติการทางทหาร ทางกองทัพพร้อมจะเปิดเผยกับประชาชนเต็มที่ แต่ต้องคำนึงถึงความลับทางทหาร เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ จึงขอสื่อสารกับพี่น้องประชาชนเพียงช่องทางเดียว One Voice One Message ผ่านศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ทั้งนี้ ปฏิบัติการในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทางกัมพูชาได้โจมตีช่องบก ช่องอานม้า และเนิน 667 ของไทยอย่างต่อเนื่อง ทางกองทัพเรือจึงยังคงดำเนินการยุทธการ “ตราดปราบปรปักษ์” อย่างต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด

ขณะที่กองกำลังบูรพาก็ดำเนินการต่อเนื่องในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนกองทัพอากาศก็มีบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือ เพื่อให้กองกำลังภาคพื้นดินสามารถปฏิบัติภารกิจได้รุดหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้กำลังพลของไทยมีการสูญเสียเพิ่มขึ้น 2 นายในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมมีกำลังพลสูญเสีย 9 นาย บาดเจ็บกว่า 120 นาย

ส่วนภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น พบว่ามีสถานพยาบาลที่ถูกโจมตีด้วยจรวด BM-21 ซึ่งชัดเจนในเรื่องของการละเมิดหลักมนุษยธรรมของทางฝั่งกัมพูชา นอกจากนี้ ยังมีถนนในพื้นที่กองทัพเรือ จังหวัดตราด ได้รับความเสียหายด้วย

ส่วนผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อประชาชน พบว่าประชาชนต้องอพยพไปอยู่อาศัยในศูนย์พักพิง 849 แห่ง รวมจำนวน 199,618 คน และมีรายงานผู้เสียชีวิต 3 ราย โรงพยาบาลได้รับผลกระทบ 19 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมตำบล (รพ.สต.) ได้รับผลกระทบอีก 180 แห่ง จึงขอประณามกัมพูชา ที่ใช้อาวุธหนักในการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย ทำให้เกิดความเสียหาย โดยเป้าหมายหลัก ๆ เกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและประชาชนทั้งนั้น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีหนังสือชี้แจงสื่อต่างๆ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ทั้ง UNSC และ UNSG

ด้านพันเอกริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อวานนี้ กองกำลังบูรพาได้มีการประกาศ ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในพื้นที่ จังหวัดสระแก้ว 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ อ.คลองหาด ในเวลา 19.00 - 05.00 น. เนื่องจากภูมิประเทศชายแดนจังหวัดสระแก้ว ในสี่อำเภอนั้นมีลักษณะเป็นพื้นราบ แผ่นดินต่อแผ่นดิน ซึ่งทหารตรวจพบว่า ทางฝั่งกัมพูชาใช้เวลากลางคืนในการโจมตีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการแทรกซึมของผู้ไม่หวังดี และเป็นการป้องกันสายลับ ที่จะเข้ามาในพื้นที่ความมั่นคง ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของทหารฝ่ายไทย กองทัพจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากพบสิ่งผิดปกติสามารถแจ้งกองทัพได้

ส่วนประชาชนที่ตกค้างอยู่ในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกองกำลังบูรพาได้มีการเตรียมการจะรับกลับร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยยืนยันว่า เราพร้อมที่จะรับประชาชนคนไทยกลับเข้ามาประเทศของเราอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องดูสถานการณ์หน้างานบริเวณชายแดนด้วย

ส่วนกรณีที่ทางฝั่งกัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นที่ตั้งฐานทัพในการโจมตีนั้น ทางฝั่งกองทัพไทยก็ได้มีการเก็บหลักฐานทั้งภาพถ่าย และวิดีโออย่างต่อเนื่อง ซึ่งกองทัพไทยทราบอยู่แล้วว่าโบราณสถาน ไม่สามารถจะโจมตีเข้าไปได้ แต่เมื่อพบว่าทางฝั่งกัมพูชาใช้บริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งทางทหาร ที่บัญชาการ ที่ตั้งอาวุธ หรือคลังเก็บสิ่งของอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงยังใช้พื้นที่ตรงนั้นโจมตีประชาชนไทย ตามหลักการเราต้องป้องกันตนเอง ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และเชื่อว่าสังคมโลกจะเข้าใจ และหากพบว่า มีการโจมตีออกมาจากสถานที่ต่างๆ การป้องกันตนเองของเรา ถือว่าเป็นสิ่งที่กระทำได้

ขณะที่ น.อ.นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษก กองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาใช้โดรนพลีชีพมาโจมตีกำลังพลไทยจำนวนมากนั้น ที่ผ่านมากองทัพได้มีการป้องกันอย่างเต็มที่ เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดกองทัพเรือก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ ให้ใช้อวนตาข่ายมาล้อมที่สูงของฐานกำบัง เพื่อป้องกันโดรนโจมตี ซึ่งแนวทางนี้ก็เป็นหนึ่งรูปแบบในการต่อต้าน แต่ที่ผ่านมากองทัพเรือก็เคยโจมตีเสาอากาศควบคุมโดรนของกัมพูชาได้ นั่นก็เป็นหนึ่งในมาตรการเหมือนกัน

ด้านพลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวเสริมว่า การต่อต้านข้างต้น อาจเป็นมาตรการเชิงรับ แต่ในเชิงรุกเราก็มีการกำหนดเป้าหมายพื้นที่เก็บโดรน และพื้นที่ควบคุม ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายที่เรามีการพูดคุยกันทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยแนวทางที่ดีที่สุด คือ ป้องกันไม่ให้โดรนบินขึ้นได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้เป็นการดำเนินการของกองทัพอากาศที่จะสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน ให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและก้าวหน้า

โดยปฏิบัติการทั้งหมดได้วางแผนเป็นขั้นเป็นตอนในเรื่องเป้าหมายที่จะโจมตี แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ย้ำว่าเป็นการไปลดทอนขีดความสามารถของกัมพูชา รวมถึงผลักดันกองกำลังกัมพูชาให้ออกจากพื้นที่ ซึ่งมีหลากหลายแนวทาง

ส่วนประเด็นเรื่องปรากฏภาพแสงสีแดงขนาดใหญ่ในพื้นที่ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับจุโกกี อ.บ็อนเตียย์อ็อมปึล จังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ระบุว่า เราสามารถตอบได้เพียงเป็นการตัดกำลัง ทำลายขีดจำกัด ที่เป็นถิ่นฐาน เสริมกำลังให้กับศัตรู เพื่อทำให้ประสิทธิภาพของการรบทางทหารไทย ได้ผลสัมฤทธิ์สูงสุด ทุกอย่างอยู่ในแบบแผนในลำดับขั้นตอนที่มีการพูดคุยกัน 3 เหล่าทัพ

...