ปืนไร้แรงสะท้อนกลับ ปรส  (Recoilless Rifle) คือปืนใหญ่แบบท่อน้ำหนักเบา ลองนึกถึงปืนใหญ่เบาที่พกพาไปกับหน่วยทหารขนาดเล็ก จริงๆ แล้วมันก็คล้ายบาซูก้านั่นแหละ เพียงแต่ปืนไร้แรงสะท้อนกลับ สามารถยิงกระสุนปรับแต่งที่หลากหลายมากกว่า แทนที่จะเป็นจรวดบาซูก้า แรงสะท้อนกลับของกระสุนปืน ปรส ออกแบบให้ช่วยชดเชยแรงถีบ แรงดันแก๊สที่ลดลง ทำให้ลำกล้องปืนบาง เมื่อบางลงก็เบาขึ่น เหมาะสมกับการเป็นอาวุธหนักที่ใช้ทำลาย นำติดตัวไปได้สำหรับพลประจำการ 2-3 คน สามารถยิงจากไหล่โดยทหารราบเพียงคนเดียว ติดตั้งบนรถทหาร หรือติดตั้งในบังเกอร์ ปืน ปรส มอบพลังโจมตีแบบปืนใหญ่เล็กให้กับหน่วยทหารเคลื่อนที่มานานแล้ว ตั้งแต่ต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังทหารที่นิยมใช้ปืนชนิดนี้ก็คือ หน่วยพลร่ม หน่วยรบพิเศษ และหน่วยทหารที่ต้องรบบนพื้นที่ภูเขา


...

หลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะถูกใช้งานมานาน แต่ปืนไร้แรงสะท้อน ถูกมองว่าเป็นอาวุธต่อต้านรถถังที่ทรงพลังและสามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทหารฝ่ายตรงข้าม  ทุกวันนี้ในสนามรบ เกราะรถถังในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น อาวุธยิงต่อต้านยานเกราะส่วนใหญ่ที่ใช้โดยหน่วยต่อต้านรถถังมีการปรับปรุงอย่างรุดหน้าเพื่อเอาชนะ ทำให้อาวุธต่อต้านรถถังโบราณแบบปืน ปรส ถูกมองว่าล้าสมัย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการปรับปรุงลูกปืน ปรส ให้มีความหลากหลาย มีการปรับเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาใช้ ทำให้ปืน ปรส มีประสิทธิภาพมากขึ้น  

ข้อดีอย่างหนึ่งของปืนไร้แรงสะท้อน คือ ประโยชน์ใช้สอยในการทำลายเป้าหมายอย่างเฉียบขาดรวดเร็ว ปรส มีกระสุนหลากหลายประเภท รวมถึง HEAT, HE, flechette และอื่นๆ เพื่อใช้ยิงทำลายเป้าหมายที่หลากหลายในสนามรบ  ปืนไร้แรงสะท้อนบางรุ่น  มีน้ำหนักเบาพอที่จะประทับบ่ายิง หรือติดตั้งในยานพาหนะทางทหารขนาดเล็ก  มีขีดความสามารถในการทำลายบังเกอร์ หรือหยุดยั้งยานเกราะทหารราบได้ ในขณะที่มีระยะยิงไกลกว่าอาวุธติดตัวของทหารราบส่วนใหญ่ ตัวอย่าง คือ SPG-9/9M ปรส ของโซเวียต ซึ่งมีระยะยิงกระสุนแรงสูงไกลเกิน 4,000 เมตร

ปรส นับเป็นอาวุธต่อสู้รถถังมีความมุ่งหมายทางยุทธวิธี 2 ประการคือ ภารกิจหลักใช้ยิงต่อสู้รถถัง ส่วนภารกิจรองใช้ยิงสังหารบุคคลและทำลายสิ่งกำบัง จัดเป็นอาวุธวิถีราบลำกล้องเรียบ ทำการเล็งด้วยวิธีการเล็งตรง มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลากหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดลำกล้อง 57 มม. , 75 มม. , 84 มม. , 106 มม. เป็นอาวุธยิงสนับสนุนของทหารราบในการดำเนินกลยุทธ์ทั้งการตั้งรับและเข้าตี

ปืน ปรส มีลูกกระสุนหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น High Explosive (HE) กระสุนระเบิดแรงสูงสังหารบุคคล High Explosive Anti Tank (HEAT) กระสุนระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถัง High Explosive Dual Purpose (HEDP) กระสุนระเบิดแรงสูง


...



แรงสะท้อนกลับหรือแรงถีบจากระบบปืนที่ติดตั้งบนยานพาหนะ อาจทำให้รถจิ้บคันเล็กพลิกคว่ำได้ กฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน กล่าวคือ ในทุกแรงกระทำจะมีแรงปฏิกิริยาที่เท่ากันเสมอ โมเมนตัมที่ปรากฏภายในระบบปืนในระหว่างการยิงอาวุธ จะเท่ากันและตรงข้ามกับผลรวมของโมเมนตัมที่ส่งไปยังกระสุนที่ยิงออกจากระบบปืน รวมถึงก๊าซขับดันที่ถูกขับออกจากระบบปืน การลดแรงถีบกลับให้น้อยที่สุด ช่วยลดอันตรายจากแรงสะท้อนที่เกิดจากการยิง

...

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พันเอกเรเน อาร์. สตัดเลอร์ แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ จากหน่วยวิจัยและพัฒนาของกรมสรรพาวุธทหารบกสหรัฐฯ พัฒนาปืนไร้แรงถีบกลับน้ำหนักเบา ซึ่งส่งผลให้ได้ปืนยิงจากไหล่ที่สามารถขับเคลื่อนกระสุนระเบิดขนาด 3 ปอนด์ (1.36 กิโลกรัม) ด้วยความเร็วปลายปากกระบอกปืน 1,200 ฟุตต่อวินาที (366 เมตร/วินาที) แนวคิดนี้ ถูกนำมาใช้ในปืน ปรส ไร้แรงถีบกลับ M40AD ขนาด 106 มม. ของกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งสามารถปล่อยก๊าซเชื้อเพลิงออกมาผ่านปลอกกระสุนแบบเจาะรูระหว่างหัวกระสุนและท้ายปืน  ส่วนปืนฮาววิตเซอร์ไร้แรงถีบกลับ LG 42 ขนาด 105 มม. ของเยอรมัน ใช้จานระเบิดที่ท้ายปืน เพื่อกักเก็บเชื้อเพลิงไว้ด้วยการจุดระเบิด แทนที่จะใช้ห้องกระสุนแบบเจาะรูเพื่อระบายแรงระเบิด 

...

ประสิทธิภาพอยู่ที่ความร้ายแรงของพลังการทำลาย ด้วยอัตราการยิงที่สูงกว่าระบบยิงขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง (ATGM) ส่วนใหญ่ที่ 5 นัดหรือมากกว่าต่อนาที ปรส จึงมีประโยชน์ในฐานะอุปกรณ์สนับสนุนการยิงที่สามารถเพิ่มอำนาจการยิงของอาวุธอื่นๆ ไปยังเป้าหมายต่างๆ ได้  สามารถย่อยกระสุนได้หลายนัดเพื่อทำลายรถถัง จากนั้นก็สังหารกำลังพลที่กำลังออกจากพื้นที่ด้วยกระสุนหัวรบระเบิดแรงสูงขนาดใหญ่ ในการต่อสู้ระยะประชิดหรือการซุ่มโจมตี ปรส สามารถทำลายยานพาหนะ นอกเหนือจากรถถังหลัก บางชนิดสามารถสร้างความเสียหายหรือทำลายรถถังหลัก (MBT) ทั้งจากด้านข้างหรือด้านหลัง 




ข้อจำกัดของปืนไร้แรงสะท้อน คือ ความสามารถในหลบเลี่ยงการตรวจจับ เนื่องจากการยิงทำให้เกิดควันและเสียงดังสนั่น ปรส ส่วนใหญ่ติดตั้งค่อนข้างสูง พลยิงอาจโดนสอยร่วงได้ และต้องบรรจุกระสุนด้วยมือจากท่ายืนหรือคุกเข่า ซึ่งทำให้ต้องเสี่ยงกับการถูกยิงสวนกลับ ปรส รุ่นเก่ามีน้ำหนักมากจนต้องแยกชิ้นส่วนและบรรจุกระสุนใส่ยานพาหนะเพื่อเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการยิงและการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วหลังจากยิง ตัวอย่างหนึ่งของความคล่องตัวต่ำคือ B-10 รุ่นเก่าของรัสเซีย (มีน้ำหนัก 85 กิโลกรัมเมื่อลากจูง และ 72 กิโลกรัมเมื่อไม่ลากจูง) ด้วยระยะยิงต่อต้านเกราะ 400-1,000 เมตร การยิงครั้งแรกจะต้องแม่นยำและรุนแรงสูงสุด มิฉะนั้น พลประจำรถจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ทหารจึงใช้อาวุธรุ่นเก่าเหล่านี้เฉพาะในการป้องกันและซุ่มโจมตีแบบผสมผสาน เพื่อเสริมอำนาจทางการยิง 

เครื่องยิงรุ่นเก่าบางรุ่นได้รับการดัดแปลงเพื่อลดน้ำหนัก และแยกชิ้นส่วนออกเป็นชิ้นส่วนสำหรับการเคลื่อนที่แบบถอดประกอบได้ Type 65 ของจีนเป็นรุ่นน้ำหนักเบากว่า B-10 ที่ 28 กิโลกรัม และใช้กระสุนที่ได้รับการปรับปรุง ส่วน M79 ของเซอร์เบียก็มีน้ำหนักน้อยกว่า 30 กิโลกรัมเช่นกัน ด้วยศูนย์เล็งที่ได้รับการปรับปรุง จึงมีระยะต่อต้านเกราะที่ 670-1,000 เมตร ระยะที่ไกลขึ้นช่วยเพิ่มความอยู่รอดของพลยิง ไม่ต้องเข้าไปใกล้เป้าหมาย ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจพบและถูกยิงสวนกลับ 

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]  
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom  
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/