นักวิชาการอิสระหนุนข้อเสนอภาษีสรรพาสามิตบุหรี่จากปัจจุบัน 2 อัตรา ให้เป็นอัตราเดียวของกรมสรรพสามิต ชี้โครงสร้างภาษีบุหรี่ 2 อัตรา ไม่มีประสิทธิภาพทั้งด้านรายได้รัฐและสาธารณสุข

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. รองศาสตราจารย์ ดร.ภัทรกิตติ์ เนตินิยม ในฐานะนักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ได้เข้าร่วมรับฟังผลการศึกษางานวิจัยเรื่องภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 6 ส.ค.2568 และได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของกลุ่มเกษตรกรยาสูบพื้นที่ จ.สุโขทัย มีความเห็นว่า การสร้างความชัดเจนของโครงสร้างภาษีบุหรี่มีความจำเป็นมากต่อกลุ่มเกษตรกรในฐานะผู้ผลิต ซึ่งรัฐบาลควรเร่งดำเนินการตามข้อเสนอแนะล่าสุดของกรมสรรพสามิต ที่จะปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่จาก 2 อัตรา ให้เป็นอัตราเดียวโดยเร็วที่สุด เพราะผลการศึกษายืนยันแล้วว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ตามมูลค่า 2 อัตรา ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านรายได้และผลกระทบโดยรวมด้านสาธารณสุข หากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ คาดว่า จะทำให้รัฐสูญรายได้มากกว่า 7 หมื่นล้านบาท ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยาสูบมีการเติบโตติดลบ กระทบกับกลุ่มเกษตรกรยาสูบตั้งแต่มีการใช้โครงสร้าง 2 อัตราในปี 2560 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีอัตราเดียวไม่ได้มีผลกระทบต่อบุหรี่ผิดกฎหมายหากมีการกำหนดอัตราภาษีเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ในวันที่ได้เข้าร่วมรับฟังผลงานวิจัยนั้น กรมสรรพสามิตก็ได้รับทราบประเด็นดังกล่าว และรวมไว้ในผลการศึกษาอยู่แล้ว การปรับโครงสร้างภาษีเป็นอัตราเดียวในครั้งนี้ จึงไม่น่ามีผลต่อการเพิ่มขึ้นของบุหรี่เถื่อน ในทางกลับกันบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการภาษี 2 อัตรา โดยเฉพาะหลังเดือน ต.ค.2564 ที่มีการปรับนโยบายภาษีบุหรี่ครั้งล่าสุด ทำให้บุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นสูงจากการที่รัฐบาลยุคนั้นยังคงเลือกที่จะคงโครงสร้างบุหรี่แบบ 2 อัตราไว้จนถึงปัจจุบัน

...

รศ.ดร.ภัทรกิตติ์ กล่าวต่อว่า รายงาน WHO Report on the Global Tobacco Epidemic (2025) ได้เสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของภาษียาสูบ โดยรวมถึงการตรวจสอบโครงสร้างภาษีที่ไม่เป็นมาตรฐานและการยกเว้นโครงสร้างภาษีที่เอื้อประโยชน์ให้ยาสูบบางประเภท จึงอาจอนุมานได้ว่า สำหรับประเทศไทยเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไขคือ โครงสร้างภาษียาสูบแบบหลายอัตรา (Multiple Tiers) ซึ่งเอื้อให้ตลาดยาสูบราคาถูกขยายตัว โดยรายงานของ WHO ยังคงพบปัญหานี้ใน 31 ประเทศ จาก 178 ประเทศ ซึ่งใช้ระบบภาษีหลายอัตรา ทำให้มาตรการภาษียาสูบไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการใช้ภาษีอัตราเดียวหรือที่เรียกว่า Uniform Tax Rate

นอกจากนี้ รายงาน WHO ยังได้ยกตัวอย่างประเทศปากีสถาน ซึ่งกำหนดภาษียาสูบมีความซับซ้อน เนื่องจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสูบ โดยในปี 2556 ปากีสถานได้นำระบบภาษีสรรพสามิตบุหรี่แบบ 2 อัตรามาใช้ แม้รายได้ภาษีจะเพิ่มขึ้นในช่วงแรก แต่หลายปีต่อมารายได้ของรัฐบาลกลับลดลง ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ผู้ผลิตรายงานยอดผลิตสินค้าต่ำกว่าความจริง ทำให้ในปี 2560 รัฐได้กำหนดเพิ่มอัตราภาษีอีก 1 ชั้น รวมเป็นอัตราภาษี 3 อัตรา เพื่อลดภาษีให้กับบุหรี่ราคาถูก แต่มาตรการนี้กลับส่งผลเสีย ทำให้รายได้จากภาษียาสูบของรัฐบาลลดลงประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2561 เพียงปีเดียว และเป็นเหตุให้ประเทศปากีสถานยุบรวมภาษี 3 อัตราจนเหลือ 2 อัตรา ในปี 2562  อย่างไรก็ตาม เสนอให้รัฐบาลเร่งตัดสินใจให้โครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียว โดยไม่ควรรอรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง เพราะส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลจากภาษีบุหรี่สูญหายไปจำนวนมาก