ผู้อพยพชาว จ.บุรีรัมย์ หวังเหตุปะทะจบลงโดยเร็ว โอดขาดรายได้มากว่า 2 สัปดาห์ ซ้ำไฟแนนซ์ยังโทรทวงค่างวดรถ วอนรัฐบาลเร่งช่วยเหลือเยียวยาทุกคนที่ได้รับผลกระทบ

วันที่ 19 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 12 แล้ว และยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าการสู้รบจะจบลงวันไหน ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน ที่อพยพเข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีผู้อพยพหลายพันคน เริ่มมีความเครียด เนื่องจากไม่สามารถกลับไปประกอบอาชีพทำมาหากินได้ ทำให้ขาดรายได้มาเกือบ 2 สัปดาห์ ขณะที่หลายคนก็ถูกเจ้าหนี้ และไฟแนนซ์โทรมาทวงค่างวดรถยนต์ รถจักรยานยนต์

โดย น.ส.สิรินทร์ อายุ 40 ปี หนึ่งในผู้อพยพ เผยว่า เมื่อวานมีพนักงานไฟแนนซ์โทรศัพท์มาทวงถามค่างวดรถยนต์กับตนเอง  ซึ่งตนก็แจ้งไปว่ายังลี้ภัยสงครามอยู่ในศูนย์พักพิง ไม่ได้กรีดยางมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ยังไม่สะดวกที่จะชำระ แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าจะผ่อนผันให้หรือไม่ 

จากนั้นเขาก็โทรไปทวงกับสามีตนเองซึ่งเป็น ชรบ. ดูแลความเรียบร้อยอยู่ในพื้นที่สีแดง ทำให้สามีเกิดความกังวลจึงต้องหาหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้อง เพื่อนำไปจ่ายค่างวดรถเดือนละ 7,600 กว่าบาท หากไม่จ่ายก็กลัวจะถูกยึดรถ ยอมรับว่าเดือดร้อนมาก เพราะไม่ได้กรีดยางตั้งแต่มีการสู้รบ ก็ขาดรายได้ แต่หากได้กรีดยางก็จะมีเงินไปจ่ายงวดรถไม่ต้องหยิบยืมคนอื่น ก็อยากให้สถานการณ์จบลงโดยเร็ว จะได้กลับไปทำมาหากินเป็นปกติ มีเงินใช้จ่ายในครอบครัว และชำระหนี้ ทั้งนี้ก็อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบด้วย

...

ด้าน น.ส.สุภาพร บอกว่า ตนมีอาชีพทำสวนยางพารา ส่วนสามีรับจ้างทั่วไป แต่หลังจากที่มีการสู้รบก็ไม่ได้กรีดยาง และสามีก็ไม่ได้ออกไปรับจ้างเลย รายได้ไม่มีเลย เงินที่พอมีเก็บบ้างก็นำมาใช้จ่ายช่วงอพยพเกือบหมดแล้ว เพราะมีภาระลูกน้อย 3 คน อายุ 4, 7 และ 8 ขวบ และวันที่ 25 ของทุกเดือนก็ต้องจ่ายค่างวดรถ ก็ยังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายเพราะไม่มีรายได้เข้าเลย หากเป็นไปได้ก็อยากให้ทางไฟแนนซ์ผ่อนผัน หรือขยายการชำระหนี้ออกไปหน่อย เพราะยังไม่รู้ว่าการสู้รบจะจบเมื่อไหร่ และจะได้กลับไปทำมาหากินวันไหน 

ขณะที่นางละอองดาว ซึ่งเป็นลูกจ้างร้านเสริมสวย เล่าว่า ช่วงที่อพยพมาอยู่ศูนย์พักพิงก็ไม่มีรายได้เลย จึงขออนุญาตเจ้าของร้านนำอุปกรณ์และสีที่ใช้ในการทำเล็บเจล มาให้บริการทำเล็บให้กับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในศูนย์พักพิง พอให้มีรายได้บ้าง เพื่อจะได้มีเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้านเดือนละ 3,000 บาท รวมทั้งซื้ออุปกรณ์การเรียนให้กับลูกตอนที่อพยพกลับบ้านด้วย

ซึ่งการนำอุปกรณ์มาทำเล็บในศูนย์พักพิง นอกจากจะมีรายได้ไว้จ่ายค่าเช่าบ้านแล้ว ยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดให้กับตนเอง และคนในศูนย์ด้วย เพราะอยู่มาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ก็อยากวอนให้รัฐบาลช่วยเยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบให้เหมาะสมกับสภาพความเดือดร้อนจริงด้วย