ในที่สุด คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และองค์กรปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ และธุรกิจที่เรียกรวมๆ กันว่า “สีเทา” ก็ตัดสินใจประกาศยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติรายใหญ่ 3 กลุ่ม ที่พัวพันธุรกิจสีเทาและการฟอกเงินโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐาน
เครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติเหล่านี้ได้แก่ กลุ่มของนายยิม เลียก - นายเบน สมิธ, นายก๊ก อาน และนายเฉิน จื้อ แห่ง ปรินซ์ กรุ๊ป โดยการยึดและอายัดทรัพย์ในครั้งนี้คิดเป็นมูลค่า 10,157 ล้านบาท ประกอบไปด้วย รถหรู เรือยอร์ช บ้าน และที่ดินในทำเลทองต่างๆ ของประเทศไทย ฯลฯ
แต่เป็นเรื่องน่าแปลกใจว่า เมื่อพบหลักฐานเชื่อมโยงกันในเส้นเงินของกลุ่มอาชญากรทางเศรษฐกิจเหล่านี้จริงๆ คณะผู้ทำการสอบสวนความเป็นมาต่างๆ กลับไม่ดำเนินคดีกับ เบน สมิธ หรือที่หลายคนเรียกเขาว่า Launder หรือ Fixer แต่เพียงผู้เดียว
คำตอบนี้จะอธิบายด้วยภาพที่มีผู้ปล่อยออกมา ให้เห็นเครือข่ายอันกว้างขวางของนายเบน สมิธ กับผู้คนในวงการต่างๆ ของสังคมชั้นนำในประเทศไทยมากมายได้หรือไม่ เพียงใด เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะใช้วิจารณญาณกันเอาเอง
แต่ที่เป็นปัญหาคือ แต่ละพรรคการเมืองได้นำเอาภาพถ่ายที่เคยถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อน ออกมาขยี้กันเองว่า ต่างฝ่ายต่างก็มีความสนิทสนมกับทั้งนายยิม เลียก และครอบครัว เช่นเดียวกับนายเบน สมิธ และครอบครัวที่ต่างก็พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย
นักธุรกิจ โดยเฉพาะวิศวกรทางการเงินในประเทศไทยหลายคน แสดงความรู้สึกห่วงใยว่า นักการเมืองที่มีความแค้นเคือง หรืออยู่คนละฝั่งกัน ไม่ควรนำเรื่องนี้ไปขยี้ให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างออกไป
เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นผู้บริหารกองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยจำนวนมาก ไม่เท่านั้น ผู้ที่ถูกระบุว่าทำธุรกิจสีเทา และฟอกเงินเทาหรือดำให้เป็นเงินสีขาวเหล่านี้ ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยด้วย
...
“หลายคนถือหุ้นอยู่ในหลายบริษัทจดทะเบียน ไม่ใช่แค่หุ้นของ บมจ.บางจาก ที่ถูกระบุถึงเท่านั้น แต่ยังมีหุ้นอื่นๆ ที่พวกเขาถืออยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับหุ้นของผม เขาเคยนัดมาคุยว่าจะซื้อหุ้นบริษัทผม แต่ผมบอกเขาว่า ผมจำเป็นต้องรู้ที่มาของเงิน เขาก็เลยหายไป ไม่กลับมาอีก...
คนในวงสังคมชั้นนำมากกว่าครึ่ง ไม่มีใครไม่รู้จัก เบน สมิธ เพราะอาชีพของเขาคือผู้บริหารเงินกองทุนจำนวนมหาศาล เขาอยากซื้อ ในเวลาเดียวกันเราก็อยากขาย เพราะเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยไม่มีเหลือแล้ว เนื่องจากต่างคนต่างช่วยกันทำพัง คนขี้โกงก็ยังไม่ถูกดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ส่วนความเชื่อมั่นทางการเมือง ก็ยังเอากลับคืนมาไม่ได้” นักการเงินใหญ่คนหนึ่งกล่าว
ดังนั้น ผลที่ตามมาถ้ารัฐบาล กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่จัดการปัญหานี้ให้ลงลึกถึงแก่นแท้ของมัน ท้ายที่สุดจะไม่มีกองทุนข้ามชาติซื้อหุ้นไทยอีก ที่สำคัญคือจะขายทิ้งแล้วไม่กลับมาอีก ดัชนีหุ้นไทยที่ขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง จะร่วงกลับลงไปเป็น “สาละวันเตี้ยลง”
นักการเงินอีกกลุ่มซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ให้ความเห็นว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องหันมากำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอย่างจริงจัง ให้รักษากฎระเบียบการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัดในการนำเงินตราเข้าประเทศ
เช่นที่สหรัฐฯ ห้ามนำเงินสดเข้าประเทศได้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป กำหนดห้ามนำเงินตราเข้าประเทศเกินกว่า 5,000 ยูโร ไม่เช่นนั้นจะมีความผิด และถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่นำเข้ามา
ในขณะเดียวกัน ถ้าจะมีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน หรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องให้ผู้ซื้อใช้จ่ายเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ ภายใต้ข้อกำหนดว่าให้ใช้เงินสดเป็นจำนวนเท่าใด จะต้องมีเอกสารพิสูจน์ว่าเงินนั้น... ท่านได้แต่ใดมา (Proof of Funds) ตามหลักการของกฎหมายฟอกเงิน
ฉะนั้นเอกสารที่ต้องแสดงคือ Statement ธนาคาร, หลักฐานการขายทรัพย์สินอื่น หรือมรดก เพื่อแสดงว่าเงินนั้นถูกต้อง และควรทำผ่านทนายความ หรือทนายที่ดิน (Solicitor) เพื่อจัดการเอกสารให้ราบรื่น โดยสรุปคือ เงินสดซื้อได้ แต่ต้องโปร่งใสและมีหลักฐานครบถ้วน
สำหรับในประเทศไทย มีการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างๆ กันด้วยเงินสดๆ 100 - 1,000 ล้านบาทได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร ด้วยการที่ผู้ซื้อเพียงจ่ายเงินสดที่นำเข้ามาให้แก่ผู้ขายโดยตรงไปเลยเท่านั้น โดยไม่ต้องมานั่งตอบคำถามว่า เงินนี้สีดำ สีเทา หรือมีที่มาอย่างไร
นี่อาจเป็นอีกคำตอบหนึ่งว่า เหตุใดเงินที่ไม่รู้ที่มา จึงเพิ่มพูนมากขึ้นในดุลชำระเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยกว่า 500,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นปัจจัยกระทบต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ และแข็งค่ากว่าสกุลเงินในภูมิภาค
ปัญหานี้ จะออกกฎหมายมาแก้ไขให้เกิดการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหรือไม่? หรือจะปิดตาข้างเดียว ก็ต้องแสดงให้เห็นความชัดเจน