DSI เปิดปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน โยงเครือข่ายกลุ่ม "จีนเทา" ขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ยึดเครื่องขุด 3,642 เครื่อง ลอบดำเนินการ 3 ปี ทำรัฐเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายธนะ โชคพระสมบัติ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมแถลงปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนภายใต้ชื่อปฏิบัติการ "Operation Copperhead"

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ดีเอสไอและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จำนวน 6 จุด และ จ.อุทัยธานี จำนวน 1 จุด รวมจำนวน 7 จุด ประกอบด้วยโกดัง 4 จุด และบ้านพัก 3 จุด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึด อายัดเครื่องขุดบิตคอยน์จากโกดัง รวมทั้งสิ้น 3,642 เครื่อง ประมาณ 270 ล้านบาท มูลค่าระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ 30 ล้านบาท ประเมินมูลค่าของอุปกรณ์ทุนตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์เถื่อนทั้งระบบรวม 4 จุด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท 

...

ส่วนใหญ่ซุกซ่อนบิตคอยน์ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ถูกดัดแปลงด้วยนวัตกรรมใหม่ในการเก็บเสียง และใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบการลักลอบใช้ไฟฟ้า จากการขยายผลการสืบสวนพบว่า ผู้บงการรายใหญ่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม "จีนเทา" เครือข่ายในพม่า ซึ่งโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ตรวจพบเส้นทางการเงินและผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน ดำเนินการกว่า 3 ปี ทำให้รัฐสูญรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท 

ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล เพื่อขยายผลเกี่ยวกับเส้นทางการฟอกเงินและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยเตรียมประสานความร่วมมือกับประเทศผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงทางการของจีน ซึ่งมีการหารือร่วมกันเบื้องต้นแล้ว เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีและสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้จากข้อมูลที่ตรวจพบ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนภายในเครือข่ายมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเส้นทางการเงินบางส่วนโยงเข้าสู่ระบบสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทบิตคอยน์ ทำให้เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้ให้กับกลุ่มจีนเทาและเครือข่ายสแกมเมอร์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อ 31 ม.ค. ดีเอสไอได้ปฏิบัติการ "รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ" ตรวจยึดเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวน 1,788 เครื่อง ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และทำการขยายผลสอบ จนพบการลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขุดบิตคอยน์ในกรณีดังกล่าว

ด้านนายอนุทิน กล่าวว่า ดีเอสไอเชิญให้มาดูเรื่องอุปกรณ์ขุดบิตคอยน์ และปราบปรามผู้กระทำผิด นอกจากนี้ยังขยายผลถึงธุรกิจที่ทำผิดกฎหมาย ยังแอบใช้ไฟฟ้าด้วย ที่ทำตรงนี้ไม่เสียค่าไฟ เป็นการกระทำที่อุกอาจ จึงขอให้ดีเอสไอขยายผลการลักลอบกระแสไฟฟ้าไปเลย เรื่องเหล่านี้ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก ส่วนเรื่องอื่นเกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม มี รมว.ยุติธรรมเป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งได้ให้นโยบายไปแล้ว โดยยึดนโยบาย ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม ทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ดูพฤติกรรมถ้าผิดก็เปิดชื่อมา เปิดชื่อมาเจอใครก็คนนั้นแหละ ดูพฤติกรรม ดูสำนวนการกระทำความผิด ไม่ต้องสนใจว่าเขาชื่ออะไร ตำแหน่งอะไร หรือจะเป็นนักการเมืองก็ตาม  มาวันนี้ไม่มีได้เรื่องอื่นๆ หรือคดีอื่นๆ 

ผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกรมราชทัณฑ์ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ต้องกังวล เพราะได้ให้นโยบายกับรัฐมนตรีไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องสั่งการอธิบดีหรือใคร เพราะเขารู้อยู่แล้ว ยึดถือหลักอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสำนวนคดีฮั้วสว. และคดีเขากระโดงก็ไม่ได้ติดตาม ไม่ได้ดูทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ สำหรับเรื่องคุกวีไอพี ได้สั่งการ รมว.ยุติธรรมดำเนินการไปแล้ว อะไรที่มันอุกอาจ ท่านไม่ต้องห่วง ตนคนเพื่อนน้อย และไม่มีหนี้ที่ต้องไปใช้ตอบแทนอะไรใคร นโยบายให้แล้วเรื่องการปฏิรูปการทำงานของกรมราชทัณฑ์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย และรมว.ยุติธรรมกำลังดำเนินการอยู่ ในประเทศไทยไม่มีใครมีอำนาจเหนือกฎหมายได้

จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอได้ร่วมกันตรวจสอบของกลาง อุปกรณ์ที่ลักลอบใช้ไฟฟ้า ที่ดีเอสไอยึดมาได้จำนวนมาก พร้อมมอบนโยบายให้ดีเอสไอขยายผลปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบนี้ต่อไป