คมนาคมเร่งเครื่อง "ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า" หนุน รฟม. บริหารแบบ Single Ownership ผุดใช้โมเดลกองทุน–ให้สัมปทานใหม่ แก้โจทย์ใหญ่ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ ดันตั๋วร่วมเต็มรูปแบบ ลุยชง ครม.9 ธ.ค.นี้ เคาะหลักการเป็นสารตั้งต้น ให้รัฐบาลชุดต่อไปสานต่อ
8 ธ.ค.2568 - นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบให้กระทรวงการคลัง เป็นเจ้าภาพหารือกับกรมการขนส่งทางราง(ขร.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแหล่งเงิน และแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าว่าจะใช้วิธีการอย่างไร ที่จะไม่กระทบกับหนี้สาธารณะ โดยเบื้องต้นจะเสนอขออนุมัติหลักการในการดำเนินการเรื่องนี้จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ธ.ค.2568 ไว้ก่อน เพื่อให้เป็นสารตั้งต้นสามารถนับหนึ่งในการดำเนินการเรื่องซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าได้ เพราะคาดว่าข้อสรุปจบไม่ทันรัฐบาลชุดนี้
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อ ยังไม่ได้กำหนดเรื่องกรอบเวลาว่าต้องจบได้ข้อสรุปเมื่อใด เพราะต้องมีการศึกษาคงใช้เวลาอีกพอสมควร และต้องเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานให้จบ มิฉะนั้นตั๋วร่วมก็คงไม่เกิด เบื้องต้นจะให้ รฟม. เป็นผู้บริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) แล้ว ซึ่งเมื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้ามา จะให้อยู่ภายใต้การดูแลของ รฟม. เพื่อให้เกิดเป็นเอกภาพ ให้ระบบตั๋วร่วมสามารถเกิดขึ้นได้
“เบื้องต้นได้หารือกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BEM และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC คือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บีทีเอส) สายสีชมพูและสีเหลืองก็ไม่ขัดข้อง เพียงแต่ในแง่ธุรกิจต้องเจรจาต่อรองเรื่องราคาให้มีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียเปรียบ ส่วนกรุงเทพมหานคร ก็ไม่ติดขัด แต่เขาขอเจรจาราคาที่เป็นธรรม” นายพิพัฒน์ กล่าว
...
อย่างไรก็ตามโจทย์ใหญ่ในการซื้อคืนสัมปทานจากเอกชนโดยไม่กระทบหนี้สาธารณะ ส่วนแหล่งเงินที่จะใช้นำมาซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า เบื้องต้นมี 2 แนวทาง ประกอบด้วย 1.การระดมทุนในการออกตราสารหนี้ (bond) ให้กับนักลงทุน ในลักษณะการระดมทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) และ 2.ให้สัมปทานรถไฟฟ้า 30 ปีแก่เอกชน เพื่อให้เอกชนนำสัมปทานไปค้ำประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยเบื้องต้นผู้รับสัมปทานขอกลับไปพิจารณารายละเอียดก่อน

สำหรับมาตรการ 40 บาทตลอดวันถือเป็นสารตั้งต้นของระบบตั๋วร่วมในอนาคต โดยเปิดทางให้ผู้โดยสารที่ใช้บัตร EMV เช่น บัตรเดบิตหรือเครดิต Visa และ Mastercard จ่ายค่าโดยสารในอัตรา 42 บาท และระบบจะคืนเงิน 2 บาทภายใน 3 วันทำการ ทำให้ผู้โดยสารจ่ายจริงเพียง 40 บาทสำหรับการเดินทางทั้งวันบนสองเส้นทางนำร่องนี้ หากไม่มีบัตร EMV ผู้โดยสารสามารถซื้อบัตรโดยสารจากสถานีสายสีม่วงซึ่งใช้งานแบบเดียวกับบัตรเดบิตได้
“นโยบายดังกล่าวมุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เดินทางเป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องเดินทางมากกว่า 2 เที่ยวต่อวัน เช่น ผู้ปกครองที่ต้องไป–กลับหลายรอบเพื่อส่งบุตรหลาน จากเดิมที่ต้องจ่ายราว 80 บาทต่อวัน จะเหลือเพียง 40 บาท หรือเฉลี่ยเที่ยวละ 10 บาท ช่วยประหยัดได้ถึงครึ่งหนึ่ง รัฐบาลตั้งเป้าให้มาตรการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการระบบค่าโดยสารร่วมสำหรับรถไฟฟ้าทุกเส้นทางในกรุงเทพฯ และพื้นที่ต่อเนื่อง” นายพิพัฒน์ กล่าว
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม