77 ปีที่ผ่านมา หากจะกล่าวถึงมหาเศรษฐีแห่งวงการยานยนต์ที่ผสานคุณลักษณะของความเป็นอัจฉริยะและเพลยบอยเข้าไว้ด้วยกัน ก็ต้องเป็น Colin Chapman วิศวกรผู้เปี่ยมด้วยความคิดริเริ่มอันน่าทึ่ง Chapman เป็นคนที่เข้ามาพลิกโฉมกฎเกณฑ์ของรถยนต์ที่ใช้บนถนนและรถแข่งอย่างสิ้นเชิงด้วยแบรนด์ Lotus ซึ่งยึดมั่นในปรัชญา "ทำให้เรียบง่าย แล้วเพิ่มความเบา" รถ Lotus ในอดีต แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมอันน่าทึ่ง ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของ Chapman ที่ต้องการเอาชนะกฎเกณฑ์ฟิสิกส์ ในยุคแรกเริ่ม Lotus ไม่มีเงินมากพอเพื่อที่จะสร้างรถสำหรับลงแข่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Lotus ต้องผลิตรถแข่งที่ด้อยประสิทธิภาพและเปราะบางอย่างน่าตกใจ ซึ่งมักจะพังเสียหาย และบางครั้งก็เกิดอุบัติเหตุที่น่าเศร้า แต่ความมุ่งมั่นของ Colin Chapman ทำให้ Lotus กลายเป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์รถสปอร์ตที่นำเสน่ห์ของกานขับเคลื่อนอันเหนือชั้นมาสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตของอังกฤษ แบรนด์ Lotus car บริษัทที่ Colin Chapman ก่อตั้ง แรกเริ่มอยู่ในโรงงานที่ติดกับผับของพ่อ หลังจากออกจากกองทัพอากาศ Chapman ตื่นตัวและมุ่งมั่นอย่างที่สุดในการก้าวเดินเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ต พลังงานมหาศาลของ Chapman ได้รับการเสริมด้วยแอมเฟตามีนในปริมาณมหาศาล ความตึงเครียดจากการที่บริษัทเดอโลเรียนล้มละลาย เป็นปัจจัยที่ทำให้เขาเสียชีวิตในวัยเพียงแค่ 54 ปี

...
ปี 1952 Colin Chapman ก่อตั้งบริษัทรถสปอร์ตยี่ห้อ Lotus Car ซึ่งในช่วงแรกเขาบริหารงานโดยมีกลุ่มเพื่อนที่คลั่งไคล้รถยนต์คอยให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ความรู้เกี่ยวกับเทคนิควิศวกรรมการบินของ Colin Chapman มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุความก้าวหน้าทางเทคนิคยานยนต์ ที่สำคัญ แนวคิดของ Chapman กลายเป็นที่จดจำในด้านปรัชญาการออกแบบ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่น้ำหนักและการควบคุม แทนที่จะเพิ่มแรงม้าและทำช่วงล่างให้แข็งขึ้นไปอีก Lotus กลับทำให้รถเบาขึ้นและลู่ลม Colin Chapman เคยสรุปไว้ว่า "การเพิ่มกำลัง ทำให้คุณเร็วขึ้นบนทางตรง แต่การลดน้ำหนักทำให้คุณเร็วขึ้นในทุกที่" จากปรัชญาอมตะดังกล่าวทำให้แนวคิดลดน้ำหนักหรือไล่เบาในวงการรถแข่งถูกใช้มาจนถึงทุกวันนี้

Lotus เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงสัญชาติอังกฤษเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปหลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงทศวรรษ 1970 นอกจากงานวิศวกรรมแล้ว Colin Chapman ยังเคยขับรถ Vanwall F1 ในปี 1956 แต่เกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับ Mike Hawthorn เพื่อนร่วมทีมระหว่างการฝึกซ้อมในการแข่งขัน French Grand Prix ที่แร็งส์ ทำให้ Chapman ต้องยุติอาชีพนักแข่งรถและหันมาให้ความสำคัญด้านเทคนิค Chapman และ John Cooper ได้เข้ามาปฏิวัติวงการมอเตอร์สปอร์ตในยุคนั้น ด้วยการคิดค้นรถแข่งขนาดเล็กน้ำหนักเบาเครื่องยนต์วางกลาง เนื่องจากระบบส่งกำลังของ Lotus ในยุคแรกนั้นด้อยประสิทธิภาพในแง่ของแรงบิด แต่น้ำหนักที่เบาและการควบคุมที่เหนือชั้นทำให้รถแข่งของ Lotus เอาชนะ Ferrari และ Maserati รถแข่งสัญชาติอิตาเลี่ยนที่มีเครื่องยนต์วางหน้าอันทรงพลัง

ในยุครุ่งเรือง Jim Clark นักแข่งผู้เป็นเสมือนนักขับตัวยืนของทีม Lotus คว้าชัยชนะได้ทุกเมื่อที่ต้องการ Jim Clark และ Colin Chapman สนิทกันมากขึ้น จนทำให้การเสียชีวิตของ Clark จากอุบัติเหตุร้ายแรงในปี 1968 สร้างความเสียใจอย่างสุดซึ้งให้กับ Chapman ซึ่งได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาได้สูญเสียเพื่อนรักที่ดีที่สุดไปแล้ว

...
หากมองย้อนกลับไปในอดีต บุคคลสำคัญในวงการยานยนต์หลายคนที่เคยเป็นพนักงานของ Lotus Car ได้แก่ Mike Costin และ Keith Duckworth ซึ่งต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งสำนัก Cosworth ส่วน Graham Hill ก่อนจะโด่งดังในวงการมอเตอร์สปอร์ต ก็เคยทำงานเป็นช่างซ่อมรถที่ Lotus เพื่อหารายได้พิเศษ Chapman เองก็มีพ่อที่เป็นเจ้าของผับชื่อดัง และเป็นนักธุรกิจผู้ริเริ่มการสปอนเซอร์โฆษณารายใหญ่ให้กับการแข่งรถยนต์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงฟอร์มูล่าวันจากงานอดิเรกของสุภาพบุรุษผู้มั่งคั่งให้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงมูลค่าหลายล้านปอนด์ Chapman ยังเคยโน้มน้าวให้ Ford Motor Company ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในการพัฒนาเครื่องยนต์แข่ง DFV ของ Cosworth ในปี 1966 หลังจากวันนั้น Ford ก็ร่วมมือกับ Cosworth มาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน... แนวคิดของ Colin Chapman ยังคงปรากฏให้เห็นในฟอร์มูลาวันและกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับสูง (เช่น อินดี้ คาร์) Chapman บุกเบิกการใช้สตรัทเป็นอุปกรณ์สำหรับช่วงล่างด้านหลัง นวัตกรรมสำคัญลำดับถัดไป คือ การนำโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อกมาใช้ในวงการแข่งรถ ด้วยรถ Lotus 25 formula 1 ซึ่งเข้ามาปฏิวัติวงการในปี 1962
...

เทคนิคและปรัชญาของ Chapman ส่งผลให้รถมีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งขึ้น ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ความแข็งแกร่งช่วยปกป้องผู้ขับได้ดีขึ้น แนวคิดการออกแบบในลักษณะดังกล่าว เข้ามาแทนที่สูตรการออกแบบมาตรฐานของรถแข่งที่ใช้กันมานานหลายทศวรรษอย่างรวดเร็ว นั่นคือ แชสซีแบบท่อเฟรม แม้ว่าวัสดุจะเปลี่ยนจากอะลูมิเนียมเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ แต่เทคนิคของ Chapman ในรถ Lotus ยังคงเป็นมาตรฐานสำหรับการสร้างรถแข่งระดับสูงในปัจจุบัน

...
Chapman ชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำ หากงานไม่คืบหน้าก็จะไม่ยอมพักผ่อน การร่วมมือกับทีมช่างสร้างขวัญกำลังใจที่ดีให้กับพนักงานของ Lotus เขาใช้เวลาจูนรถทั้งคืน พอเช้าวันรุ่งขึ้นรถก็เสร็จและวิ่งฉิว Chapman มีความอ่อนไหวต่อกลไกอย่างลึกลับ แต่ในฐานะผู้จัดการทีม Chapman กลับไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีกลยุทธ์ ไม่ได้วางแผนอะไรเลย Chapman ใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการตื่นนอน ทำงาน กินอาหารกลางวันในรถ จนกว่ารถคันนั้นจะเสร็จ ในความคิดของ Chapman มีแต่เรื่องทางเทคนิคของช่วงล่างและหลักอากาศพลศาสตร์อยู่ตลอดเวลา มันเป็นความหลงใหลที่ไร้ขีดจำกัดจนเกือบจะถึงขั้นคลั่งไคล้ ความรักในรถยนต์ของ Chapman นั้น น้อยคนที่จะเข้าใจ


มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ จริงๆแล้ว Chapman เป็นคนแรกในฟอร์มูลาวัน ที่เปลี่ยนรถแข่งในทีมให้กลายเป็นป้ายโฆษณาเคลื่อนที่สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับยานยนต์ เริ่มจากการโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อ Gold Leaf และที่โด่งดังที่สุดคือ John Player Special Chapman ร่วมมือกับ Tony Rudd และ Peter Wright โดยใช้ "ground effect" ในฟอร์มูลาวันเป็นครั้งแรก Chapman สร้างแรงกดตัวถัง โดยใช้ Venturis ที่ทำให้เกิดแรงดูด (แรงกดตัวถังหรือ Downforce) ซึ่งกดรถไว้กับพื้นผิวแทรคอย่างมั่นคงในขณะเข้าโค้ง การออกแบบในช่วงแรกๆ ใช้ "skirts" แบบเลื่อน ต่อมา Chapman วางแผนสร้างรถยนต์ที่สร้างแรงกดลงทั้งหมดผ่าน ground effect โดยไม่ต้องใช้วิงหรือแอร์โรพาร์ทอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดแรงต้านที่ส่งผลให้ความเร็วลดลง



หนึ่งในนวัตกรรมทางเทคนิคของ Lotus ที่คิดค้นโดย Colin Chapman คือ รถฟอร์มูลาวันแบบแชสซีคู่ Lotus 88 ปี 1981 แม้ว่ารถ 88 จะผ่านการตรวจสอบในการแข่งขันสองสามครั้ง แต่ทีมคู่แข่งก็ออกมาประท้วง FIA จนสุดท้าย Lotus 88 ไม่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันอีกต่อไป



อัจฉริยภาพของ Colin Chapman: "ทำให้เรียบง่าย แล้วเพิ่มความเบา" จากรถแข่งโมโนค็อกรุ่นแรกของโลก นั่นคือ Lotus 25 ความเรียบง่ายของรถแข่งทรงซิการ์สุดคลาสสิกคันนี้ถือว่าสุดยอดมากในยุคนั้น หลักการเบาและคมชัด (ปัจจุบัน เฟรมของ F1 ใช้คาร์บอนไฟเบอร์แทนท่ออะลูมิเนียม) ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ รถแข่งที่นั่งเดี่ยวเครื่องยนต์วางกลางของ Chapman (หลังจากการชี้แนะของ John Cooper เจ้าของอู่ซ่อมรถชาวอังกฤษและเจ้าของแบรนด์ John Cooper Works) Lotus ได้พลิกโฉมวงการกรังด์ปรีซ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านทศวรรษ จากยุค 50 สู่ยุค 60 รถแข่งที่เร็วแต่เปราะบาง อุบัติเหตุใหญ่ ที่นักขับชั้นนำอย่าง Sir. Stirling Moss, Alan Stacey และ Mike Taylor ประสบ เผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของปรัชญาเบาและเร็ว Lotus Type 25 มีโครงสร้างแบบท่อ ข้อต่อที่ยึดแน่นหนา และตัวถังแยกส่วน ยึดด้วยตัวยึดและหมุด เมื่อมีการใช้แผ่นอลูมิเนียมมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวถังรถ Chapman พบว่า การยึดตัวถังเข้ากับเฟรมช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง จึงได้ข้อสรุปว่าโครงสร้างตัวถังทั้งหมดที่ทำจากแผ่นอลูมิเนียม ช่วยให้เฟรมแบบท่อและตัวถังสามารถถอดออกได้ทั้งหมด ความคิดดังกล่าว นำพาไปสู่โครงสร้างโมโนค็อก นอกจากนี้ Chapman ยังสนับสนุนทางการเงินให้กับฟอร์มูลาวัน ด้วยรถแข่งที่มีรูปลักษณ์เหมือนซิการ์และถูกพ่นสีให้เหมือนหลอดซิการ์อีกตะหาก



เดือนเมษายน ปี 1981 หลังจากรถแข่ง 88 โดน FIA แบน Chapman ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนว่า “ผมจะพิจารณาอย่างจริงจังอีกครั้ง...ว่า การแข่งขันกรังด์ปรีซ์ ยังคงเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นหรือไม่ นั่นคือจุดสูงสุดของกีฬาและความสำเร็จทางเทคโนโลยี น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป และหากไม่มีการแก้ไข ฟอร์มูล่าวันก็จะตกเป็นเหยื่อของการลอกเลียนแบบ การหลอกลวง และการตีความด้วยกฎเกณฑ์หยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ ที่น่ารำคาญ ซึ่งกฎดังกล่าวตั้งขึ้นโดยกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ที่ถูกควบคุมโดยคนที่มองว่า F1 ควรจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ จากปัญหาที่เกิดขึ้น Chapman ดูแก่ลงทันที ผลกระทบจากชีวิตที่สับสนวุ่นวาย การอดนอนไม่ได้พักผ่อนเริ่มส่งผลต่อสุขภาพ ในขณะที่ Chapman กำลังเริ่มโครงการพัฒนาระบบช่วงล่างแบบ active suspension คืนก่อนที่ Chapman จะเสียชีวิต เขาได้ไปชมการแสดงของคริส บาร์เบอร์ นักเป่าทรอมโบนแจ๊สชื่อดัง เพื่อนเก่าแก่และลูกค้าของ Lotus Car ซึ่งเป็นในวันที่ 16 ธันวาคม 1982 ทีม Lotus กำลังทดสอบรถฟอร์มูล่าวันคันแรกที่มีระบบช่วงล่างแบบแอคทีฟ Colin Chapman ก็ประสบภาวะหัวใจวายเฉียบพลันในวันเดียวกันนั้นเอง ที่บ้านของเขาในเมืองนอริช Colin Chapman เสียชีวิตในวัยเพียงแค่ 54 ปี เท่านั้นเอง

หากย้อนเวลากลับไปในจุดเริ่มต้นของการผลิตรถยนต์ Lotus เริ่มต้นการผลิตรถด้วยมือ จากเวิร์กช็อปแห่งแรกซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเมืองฮอร์นซีย์ ทางตอนเหนือของลอนดอน ในช่วงแรก เป้าหมายหลักของ Lotus Cars คือการผลิตและจำหน่ายรถแข่งให้กับนักแข่งส่วนบุคคลและนักแข่งทดสอบ รถแข่งของ Lotus เป็นชุดประกอบสำเร็จรูป สำหรับนักแข่งมือใหม่ที่ต้องการประหยัดเงินด้วยการประกอบรถยนต์ด้วยตนเอง Lotus ขายรถยนต์ในรูปแบบรถชุดคิทเพื่อประหยัดภาษีซื้อของผู้บริโภค รถชุดคิทยังคงได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงปลายทศวรรษ 1960 อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้เริ่มจางหายไปในช่วงต้นทศวรรษ 1970 นับเป็นช่วงเวลาที่โลตัส คาร์ส ขยายธุรกิจจากรถชุดคิท รถ Lotus Elite, Elan Plus Two และ Lotus Eclat ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกๆ ที่ออกขายแบบสำเร็จรูป ไม่ได้จำหน่ายในรูปแบบชุดคิทที่เจ้าของต้องนำไปประกอบเอง
ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 Lotus Car ครองความยิ่งใหญ่ในสนาม คว้าแชมป์หลายรายการจากนักแข่งอย่าง Jim Clark และ Emerson Fittipaldi ทีม Lotus คว้าแชมป์โลกฟอร์มูลาวันได้ทั้งหมดเจ็ดสมัย แต่ปัญหาทางการเงินที่รุมเร้าและการขาดแคลนชัยชนะ ในปี 2015 ทำให้ Lotus F1 Team ถูกขายให้กับ Renault แบรนด์คู่แข่งจากฝรั่งเศส



หนึ่งในรถที่ดีที่สุดของแบรนด์ก็คือ Lotus Elise รถสปอร์ตสองที่นั่งเครื่องวางกลางรุ่นนี้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ดีที่สุด มีน้ำหนักเบามากเพียง 890 กิโลกรัม (ทุกวันนี้ Lotus Eletre เอสยูวีไฟฟ้า มีน้ำหนักประมมาณ 2,634 กิโลกรัม!) พละกำลังและการออกแบบของ Elise ไม่ได้ดีที่สุดสำหรับการขับกินลมชมวิวหรือซิ่งบนท้องถนน แต่ Lotus Elise วิ่งได้ดีมากในสนามแข่ง



หลังจากล้มเหลวทางการเงิน Lotus ถูกเปลี่ยนมือและมีการครอบครองโดยบริษัทหลายแห่ง ปัจจุบัน บริษัทรถยนต์พลังงานใหม่อย่าง Geely จากประเทศจีนซึ่งถือเป็นจอมเทคโอเวอร์แบรนด์รถยนต์สัญชาติยุโรป เป็นเจ้าของ Lotus ในความเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนในปัจจุบัน Geely เป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมหาศาลและมีขนาดใหญ่กว่า Lotus Car หลายเท่า การที่ Geely เข้าซื้อกิจการ Lotus Cars ทำให้แบรนด์มีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง แต่ยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่าง Eletre และ Emeya รวมถึง Evija ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าล่าสุดของ Lotus ทำให้แบรนด์รถยนต์จากอังกฤษกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/