เฮลิคอปเตอร์กองทัพเรือ บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร นำข้าวกล่องจากโรงครัวพระราชทานส่งให้กับโรงพยาบาลหาดใหญ่ และผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามจุดต่างๆ ในจังหวัดสงขลา หน่วยซีล ลุยช่วยคนติดค้างตั้งแต่เมื่อคืน
วันที่ 27 พ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศภายในเรือหลวงจักรีนฤเบศร ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายโรงครัวก็ได้ปรุงอาหารในครัวพระราชทานลอยน้ำเรือหลวงจักรีนฤเบศร จำนวน 3,000 กล่อง เพื่อส่งให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดสงขลา โดยหลังจากเสร็จใส่กล่องเรียบร้อยก็ได้มีการลำเลียงขึ้นไปยังเฮลิคอปเตอร์ ของกองทัพเรือ เพื่อส่งมอบให้กับผู้ประสบภัย
ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่กรมแพทย์ทหารเรือ ก็ได้มีการเตรียมอุปกรณ์ทั้งถังออกซิเจน ยารักษาโรค และอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาล ขึ้นเฮลิคอปเตอร์อีกลำ เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เป็นผู้ป่วยวิกฤต และเตรียมความพร้อมในการรับผู้ป่วยเข้ามารักษาต่อบนเรือ เนื่องจากเรือหลวงจักรีนฤเบศร มีขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยมารักษาได้
ส่วนหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง หรือ สอ.รฝ. ได้มีการเตรียมเรือท้องแบน และเรือยาง ปล่อยลงสู่ทะเล เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนเส้นทางน้ำ และเส้นทางบนบก

...
พลเรือโท เทพฤทธิ์ ลาภเหนือ ผู้บัญชาการทัพเรือภาค 2 เปิดเผยว่า อาหารปรุงสุกจากครัวลอยน้ำพระราชทานเรือหลวงจักรีนฤเบศร จะมีการส่งทางเฮลิคอปเตอร์มอบให้กับผู้ป่วย และญาติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ หลังได้รับการประสานมาจากปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอีกส่วนจะมีการส่งไปให้กับผู้ประสบภัยตามจุดต่างๆที่ได้รับการประสานเข้ามา โดยในวันนี้จะมีการลำเลียงทั้งหมด 3,000 กล่อง แบ่งเป็นมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็น อย่างละ 1,000 กล่อง
นอกจากการสนับสนุนทางอากาศแล้ว ทางภาคพื้นดินก็ได้มีการส่งกำลังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่ช่วงวันที่ 22-23 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหน่วยซีล ที่มีฐานทัพอยู่ในจังหวัดสงขลา ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือทันทีตั้งแต่เดินทางมาถึง เนื่องจากมีบางจุดที่น้ำขึ้นสูง จำเป็นต้องใช้สกิลจากเจ้าหน้าที่หน่วยนี้ ซึ่งตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ สามารถช่วยผู้ประสบภัยได้แล้วเป็นจำนวนมาก
สำหรับเรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้รับคำสั่งจากกองทัพเรือในการทำภารกิจเร่งด่วน นั่นก็คือ 1. ลำเลียงอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปยังประชาชน ที่ติดอยู่ในพื้นที่ประสบภัยที่เข้าถึงยาก 2. เคลื่อนย้าย–อพยพประชาชนออกจากจุดวิกฤตที่มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัย 3. สนับสนุนหน่วยงานท้องถิ่นในการฟื้นฟูเบื้องต้น และ 4.ตรวจประเมินพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะ 2 ข้อแรก ที่ต้องทำทันที