สหภาพยุโรปผ่อนคลายแผนหยุดขายรถยนต์ใช้น้ำมันของตัวเอง จากจะหยุด 100% ภายในปี 2578 เหลือหยุดเพียง 90% หลังผู้ผลิตรถยนต์ล็อบบี้อย่างหนัก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 16 ธ.ค. 2568 สหภาพยุโรปตัดสินใจลดความเข้มข้นของแผนการที่จะสั่งห้ามการจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลคันใหม่ตั้งแต่ปี 2578 จากเดิมจะยุติทั้งหมด 100% เหลือยุติเพียง 90% แทน หลังจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เยอรมนีพยายามล็อบบี้อย่างหนัก
ตามแผนการเดิมของสหภาพยุโรป รถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 2578 จะต้องเป็นรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 100% แต่แผนการล่าสุด พวกเขาจะขายรถยนต์ดังกล่าวเป็นจำนวน 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% ยังคงเป็นรถยนต์เบนซินหรือดีเซลแบบดั้งเดิม รวมถึงรถยนต์ไฮบริด
ตามข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) อุปสงค์ของตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังต่ำเกินไป และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ผู้ผลิตจะเสี่ยงต่อการถูกลงโทษปรับเป็นมูลค่า “หลายพันล้านยูโร”
ก่อนหน้านี้ น.ส.ซิกริด เดอ วรีส์ ผู้อำนวยการทั่วไปของ ACEA กล่าวว่า “ความยืดหยุ่น” สำหรับผู้ผลิตเป็นเรื่อง “เร่งด่วน” เนื่องจากปี 2030 กำลังจะมาถึงในไม่ช้า และความต้องการของตลาดต่ำเกินไปในการหลีกเลี่ยงค่าปรับ ทั้งยังต้องใช้เวลาในการสร้างจุดชาร์จ และนำมาตรการจูงใจทางการเงินและการซื้อมาใช้เพื่อให้ตลาดเดินหน้าได้
“ผู้กำหนดนโยบายต้องให้เวลาผู้ผลิตได้หายใจเพื่อรักษางาน นวัตกรรม และการลงทุนไว้” น.ส.เดอ วรีส์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผ่อนคลายแผนการ คณะกรรมาธิการยุโรปยังคาดหวังว่าจะมีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels) และสิ่งที่เรียกว่าเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์ (e-fuels) ซึ่งสังเคราะห์จากคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ เพิ่มมากขึ้น เพื่อชดเชยการปล่อยมลพิษที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์เบนซินและดีเซล
...
ผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าจะต้องใช้เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำที่ผลิตในสหภาพยุโรปในการผลิตยานพาหนะของตนด้วย
การผ่อนคลายแผนการครั้งนี้ทำให้กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย โดยชี้ว่าการผ่อนปรนดังกล่าวอาจบั่นทอนการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า และทำให้สหภาพยุโรปเผชิญกับความเสี่ยงจากการแข่งขันจากต่างประเทศ
องค์กรการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (T&E) เตือนสหราชอาณาจักรว่า ไม่ควรทำตามแนวทางของสหภาพยุโรปด้วยการลดความเข้มงวดของแผนการเลิกจำหน่ายรถยนต์แบบดั้งเดิม ภายใต้คำสั่งยานยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV) ของตนเอง
“สหราชอาณาจักรต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง คำสั่ง ZEV ของเรากำลังผลักดันการจ้างงาน การลงทุน และนวัตกรรมเข้าสู่สหราชอาณาจักร ในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่ เราไม่สามารถแข่งขันได้หากเราไม่สร้างสรรค์นวัตกรรม และตลาดโลกกำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว” แอนนา คราจินสกา ผู้อำนวยการ T&E UK กล่าว
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc