รัฐบาลออสเตรเลียเดินหน้ามาตรการ "รับซื้ออาวุธปืนคืน" ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ หลังเหตุก่อการร้ายกราดยิงที่หาดบอนได คร่า 15 ศพ นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี เผยจำนวนปืนในประเทศพุ่งสูงกว่าปี 1996 เตรียมคุมเข้มใบอนุญาตและจำกัดจำนวนการครอบครองต่อบุคคล

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศมาตรการรับซื้ออาวุธปืนคืน ทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ เพื่อตอบโต้เหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงที่หาดบอนได ซึ่งถือเป็นเหตุกราดยิงที่นองเลือดที่สุดในรอบหลายสิบปีของประเทศ โดยมาตรการครั้งนี้ถูกเปรียบเทียบว่ามีความสำคัญใกล้เคียงกับเหตุสังหารหมู่ที่พอร์ตอาเธอร์ในปี 1996 ที่นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายปืนครั้งใหญ่ของโลก

เหตุการณ์สลดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) เกิดขึ้นระหว่างเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวยิวบริเวณชายหาดบอนได ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ตำรวจระบุว่าเป็น "เหตุก่อการร้าย" ที่ได้รับแรงจูงใจจากอุดมการณ์กลุ่มรัฐอิสลาม 

ผู้ก่อเหตุคือ นายนาวีด อัคราม วัย 24 ปี ซึ่งถูกตั้งข้อหาหนักถึง 59 กระทง รวมถึงข้อหาฆาตกรรม 15 ศพ และการกระทำอันเป็นการก่อการร้าย ส่วนนายซาจิด บิดาของผู้ก่อเหตุเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ด้านนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี เปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันมีอาวุธปืนในออสเตรเลียมากกว่า 4 ล้านกระบอก ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าช่วงก่อนการปฏิรูปกฎหมายในปี 1996 เขากล่าวว่า "เราพบว่าหนึ่งในผู้ก่อการร้ายมีใบอนุญาตพกพาวุธปืนถูกต้อง และครอบครองปืนถึง 6 กระบอก ทั้งที่อาศัยอยู่ในย่านชานเมืองซิดนีย์ ซึ่งไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่คนในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นต้องมีอาวุธมากขนาดนี้" 

คณะรัฐมนตรีแห่งชาติได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยกระดับการควบคุมอาวุธปืน ด้วยโครงการรับซื้อคืน รับซื้อปืนส่วนเกิน ปืนที่เพิ่งถูกสั่งแบน และปืนผิดกฎหมาย เพื่อนำไปทำลายทิ้ง โดยรัฐบาลกลางและรัฐต่างๆ จะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายฝ่ายละครึ่ง

...

นอกจากนั้น ยังมีการจำกัดจำนวนปืนที่บุคคลหนึ่งจะครอบครองได้ ยกเลิกใบอนุญาตแบบไม่กำหนดวันหมดอายุ และกำหนดให้ผู้ถือใบอนุญาตปืนต้องมี "สัญชาติออสเตรเลีย" เท่านั้น นอกจากนั้น ยังมีการเร่งจัดทำทะเบียนอาวุธปืนระดับประเทศ และให้หน่วยงานกำรดดูแลเข้าถึงข้อมูลอาชญากรรมได้รวดเร็วขึ้น

ส่วนความคืบหน้า วันนี้ (19 ธ.ค.) ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ได้ปล่อยตัวชาย 7 คนที่มีแนวคิดสุดโต่งซึ่งถูกจับกุมในย่านลิเวอร์พูลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยระบุว่าแม้จะยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงโดยตรงกับเหตุกราดยิงที่หาดบอนได แต่กลุ่มคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อเหตุความรุนแรง ซึ่งตำรวจจะยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป.


ที่มา BBC