ที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมากเห็นด้วยให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ  35 คน ที่รัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของผู้สมัครได้รับเลือก ด้วยเสียง 328 ต่อ 266 งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 3 

เมื่อเวลา 11.25 น. วันที่ 10 ธ.ค. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่าไม่เห็นด้วยกับการออกแบบในมาตรา 256/1 โดยยืนยันว่าร่างของพรรคประชาชนได้ออกแบบกลไกให้ใกล้เคียงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมากที่สุดแล้ว ด้วยการให้ประชาชนเลือกผู้ที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญทางอ้อม 70 คนก่อนส่งต่อให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 35 คนและกำหนดให้ประชาชนเลือกตั้งสภาที่ปรึกษาโดยตรง 100 คนแต่หลายคนกังวลเกรงว่าจะขัดคำวินิจฉัยของศาล ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ขัด เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรง วิธีนี้ไม่ต่างอะไรจากกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันที่มาจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองที่มี สส. มากกว่า 25 คน ส่วนสภาที่ปรึกษานั้นก็ไม่ใช่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่แค่รับฟังและรวบรวมความเห็นจากประชาชนเท่านั้น ไม่มีอำนาจลงมติใดๆ ทั้งนี้นายพริษฐ์มองว่าการมองว่าข้อเสนอของพรรคประชาชนถือเป็นการเลือกตั้งโดยตรงถือเป็นการตีความที่เกินเลยไป อย่างไรก็ตามหากที่ประชุมมีมติอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ

...


เช่นเดียวกับนายสหัสวัต คุ้มคง สส. พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ อภิปรายสนับสนุนแนวทางของพรรคประชาชน ที่พยายามให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด โดยระบุว่าอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน ถ้าไม่เปิดให้ประชาชนมาเลือกผู้ร่างโดยอ้อม เท่ากับเราจะไม่ได้รัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างแท้จริง จึงขอเรียกร้องให้กล้าตัดสินใจและยืนยันว่าอย่างไรเสีย ประชาชนควรมีสิทธิออกเสียงเลือกผู้ร่างไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม


“ทวี” ขอลดสัดส่วนเป็น 10 หยิบ 1

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ ในฐานะกรรมาธิการ อภิปรายว่าเมื่อรัฐธรรมนูญระบุให้ ผู้ริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นรัฐสภา ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้า คือการเลือก สส.ทั้ง 500 คน มาทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทุกพรรคจึงควรประกาศให้ประชาชนรับรู้ว่าจะเข้ามาทำรัฐธรรมนูญ จะเข้ามาแบ่งปันอำนาจ ทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำของสังคมอย่างไรให้ประชาชนได้รับทราบ ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอของกรรมาธิการเสียงข้างมาก แต่ขอปรับสัดส่วนเป็น 10 หยิบ 1 เพื่อให้พรรคที่มี สส.จำนวนไม่มาก สามารถมีส่วนร่วมในการพิจารณาได้ ส่วนคณะกรรมการรับฟังความเห็นขอเพิ่มเป็น 70 คน


“เอกพร”ย้ำทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม

ด้านนายเอกพร รักความสุข พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ระบุ รัฐธรรมนูญที่มีปัญหาก็เพราะใครมีอำนาจก็จะแต่งตั้งคนของตัวเองมายกร่าง ไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง ไม่เห็นด้วยกับ 20 หยิบ 1 เพราะจะทำให้คนตัวเล็ก ๆ ไม่ได้รับเลือก การจะมีรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายได้นั้น ต้องเกิดจากการเห็นพ้องต้องกัน โดยยืนยันต้องทำทุกภาคส่วนของไทยเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขและร่างรัฐธรรมนูญ

สว. ลั่น รธน.ฉบับสุดท้ายไม่มีวันเกิดขึ้น

น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์ สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายว่า สส. และ สว. ไม่ได้มาจากประชาชนตรงไหน ตนเชื่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายไม่มีวันเกิดขึ้นจริง มาตรา 256 คือการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ สาบานกับประชาชนได้หรือไม่ว่า แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วสังคมไทยจะสงบสุข ไม่มีสงคราม ทำไมไม่เอางบหมื่นล้านมาแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม หากแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ กล้ารับปากหรือไม่ว่าพร้อมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด พร้อมเรียกร้องด้วยว่า การลงมติควรจะทำอย่างเปิดเผย จะได้รู้ว่าประชาชนจะเห็นด้วยกับการต้องใช้งบประมาณหมื่นล้านบาทในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะนำไปสู่ความขัดขวางความเจริญ พร้อมกับตำหนิด้วยว่า นักการเมืองนี่แหละที่เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ

ด้านนายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สมาชิกวุฒิสภา ระบุว่า ในการประชุมกรรมาธิการมีผู้อยู่ในห้องประชุมน้อยมาก เมื่อติดภารกิจกันมากแล้วจะมาเป็นกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันทำไม พร้อมเสนอให้เพิ่มจำนวนกรรมาธิการยกร่างจาก 35 คน เป็น 77 คน และใช้สูตรเลือกจากสมาชิกรัฐสภา 9 ต่อ 1 เพื่อให้พรรคการเมืองและ สว. ที่มีเสียงไม่มาก ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมในการพิจารณาให้มากที่สุด


สว.อยากเห็นประชาชนออกแบบเอง

น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ระบุ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีอะไรที่ยึดโยงประชาชน ที่เคยคุยว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มีดัชนีคอร์รัปชันแสดงให้เห็นแล้วว่าแก้ปัญหาไม่ได้ ดัชนีคอร์รัปชันพุ่งขึ้น และกลายเป็นเครื่องมือในการปราบฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น และการให้ใช้จำนวนรัฐสภา 20 หยิบ 1 จะทำให้ สว. เสียงข้างมากสามารถเลือกกรรมาธิการยกร่างเข้ามาได้ถึง 7-8 คน ขอถามว่าจะยอมให้กลุ่มก๊วนที่ฮั้วกันมา ร่างรัฐธรรมนูญเช่นนั้นหรือ

นางประทุม วงศ์สวัสดิ์ สว. ไม่เห็นด้วยกับระบบ 20 หยิบ1 เพราะขัดหลักประชาธิปไตย เพราะเป็นการเปิดทางให้เสียงส่วนน้อยล้มเสียงส่วนใหญ่ เป็นกับดักให้ประเทศเดินหน้าไม่ได้ อยากเห็นบรรยากาศที่ประชาชนมีส่วนออกแบบอนาคตของตัวเอง จึงขอให้ใช้เสียงประชาชนทั้งประเทศเป็นหลักเกณฑ์


“เท้ง” เรียกร้องลงมติตาม ปชน.

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่าสิ่งที่ประชาชนไม่อยากได้ก็คือรัฐธรรมนูญที่ไม่มีสีใดสีหนึ่งกินรวบประเทศ อยากได้กระบวนการที่ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด อยากให้กลไกเพื่อที่จะให้ประเทศเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ถอยหลังแบบนี้ และต้องการเห็นการปลดล็อคสามารถทำได้ง่ายขึ้น จึงอยากเรียกร้องให้สมาชิกเห็นด้วยกับข้อเสนอของพรรคประชาชนที่ได้เสนอ กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดแล้ว

ประธานกมธ.ยันพิจารณารอบคอบแล้ว

นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า ยังประเมินไม่ได้ว่าผู้ที่จะหยิบ 20 หยิบ 1 จะเป็นใคร แต่เชื่อมั่นว่าพรรคการเมืองจะคัดเลือกคนของประชาชนมาอย่างเหมาะสม ยืนยันว่ากรรมาธิการคณะนี้ประชุมสัปดาห์ละ 3 วันเริ่มจากเช้าถึง18.00 น.ทุกวัน สมาชิกมาครบถ้วนทุกครั้ง แต่ละคนที่มีภารกิจจะบันทึกไว้ หากดูผลลัพธ์ในวาระ3 และประชามติ จะเห็นชัดว่าท่านไม่ได้ไว้ใจคนผิด ขอยืนยันให้สภาฯยืนยันตามเสียงข้างมากที่ได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว

มติเห็นชอบตามกมธ.ข้างมาก

หลังมีการอภิปรายในร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.. ซึ่ง กมธ.พิจารณาแล้วเสร็จ  โดยที่ประชุมได้ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงในการอภิปราย ร่างมาตรา 4  ซึ่ง กมธ.เสียงข้างมาก เสนอให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ที่รัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของผู้สมัครได้รับเลือกด้วยสูตร 20 หยิบ1  และ กมธ.รับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน  ซึ่งรัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของบุคคลที่สมัครรับคัดเลือก ด้วยสูตร 20 หยิบ1   เมื่อการอภิปรายแล้วเสร็จ จึงได้ลงมติ ผลปรากฎว่า มติเสียงข้างมาก 328 เสียง เห็นด้วยกับการแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก ที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ต่อ 266เสียง ที่ไม่เห็นด้วย  มีผู้งดออกเสียง 21 เสียง