ไอรา “ไอค์” ชาบ หนึ่งในผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่จากเหตุโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียชีวิตแล้ว ขณะมีอายุได้ 105 ปี หลังจากวันครบรอบเหตุการณ์ไม่กี่สัปดาห์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 21 ธ.ค. 2568 ว่า นาย ไอรา “ไอค์” ชาบ อดีตทหารผ่านศึกกองทัพเรือสหรัฐฯ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และหนึ่งในผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่จากเหตุการณ์ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์เมื่อปี 1941 (พ.ศ. 2484) เสียชีวิตแล้วขณะมีอายุได้ 105 ปี

คิมเบอร์ลี ไฮนริคส์ ลูกสาวของเขา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Associated Press ว่า ชาบเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านเมื่อช่วงเช้ามืดของวันเสาร์ (20 ธ.ค.) โดยมีเธอและสามีอยู่เคียงข้าง

การจากไปของเขาทำให้ขณะนี้เหลือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์โจมตีฉับพลันในครั้งนั้นเพียงประมาณ 12 คนเท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีทหารเสียชีวิตกว่า 2,400 นาย และเป็นชนวนเหตุที่ผลักดันให้สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามอย่างเป็นทางการ

ในตอนเกิดเหตุ ชาบมีอายุเพียง 21 ปีและปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารเรือ โดยหลายทศวรรษที่ผ่านมาชาบเก็บตัวเงียบและแทบไม่เคยพูดถึงประสบการณ์ในครั้งนั้นเลย

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อตระหนักว่ากลุ่มผู้รอดชีวิตจากเหตุโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ชาบในวัยหลักร้อยจึงตั้งใจที่จะเดินทางจากบ้านในเมืองบีเวอร์ตัน รัฐออริกอน ไปยังฐานทัพทหารในฮาวายเพื่อร่วมพิธีรำลึกประจำปี โดยเขาให้เหตุผลไว้ในปี 2566 ว่า “เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เพื่อนพ้องที่ไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมา”

สำหรับพิธีรำลึกในปี 2567 ชาบใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นฟูเรี่ยวแรงเพื่อให้สามารถยืนขึ้นและทำความเคารพได้ แต่ในปีนี้ เขารู้สึกว่าร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะไปร่วมงาน และหลังจากนั้นไม่ถึงสามสัปดาห์ เขาก็ได้จากไปอย่างสงบ

...

ทั้งนี้ ชาบเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ปี พ.ศ. 2463 ซึ่งตรงกับวันชาติของสหรัฐฯ ที่เมืองชิคาโก โดยเขาเป็นบุตรชายคนโตในบรรดาพี่น้อง 3 คน และเข้าร่วมกองทัพเรือเมื่ออายุ 18 ปี ตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ

ชาบเคยให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่เกิดการโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์เมื่อ 7 ธ.ค. 2484 เป็นวันที่เริ่มต้นขึ้นอย่างสงบ เขาทำหน้าที่เป็นนักเป่าทูบาในวงดนตรีประจำเรือ “ยูเอสเอส ด็อบบิน” และกำลังรอคอยการมาเยือนของน้องชาย ซึ่งเป็นทหารประจำการอยู่ที่สถานีวิทยุของกองทัพเรือในบริเวณใกล้เคียง

ในตอนนั้นชาบเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จและสวมชุดเครื่องแบบชุดใหม่ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงสัญญาณเรียกหน่วยดับเพลิง เขาจึงขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือและได้เห็นเรืออีกลำคือ “ยูเอสเอส ยูทาห์” กำลังพลิกคว่ำ ในขณะที่เครื่องบินของญี่ปุ่นส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า

“พวกเราตกใจกันมาก ทั้งตกใจและกลัวตายสุดขีด” ชาบกล่าวในปี 2566 “เราไม่รู้เลยว่าต้องเจอกับอะไร และเรารู้ดีว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ทุกอย่างก็คงจบสิ้นลงตรงนั้น”

ชาบรีบวิ่งกลับลงไปใต้ดาดฟ้าเรือเพื่อคว้ากล่องกระสุน และเข้าร่วมในแถวส่งกระสุนแบบต่อมือ (Daisy chain) กับเหล่าทหารเรือคนอื่นๆ เพื่อส่งลูกปืนใหญ่ขึ้นไปยังปืนต่อสู้อากาศยานที่อยู่ด้านบน

ตามบันทึกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า เรือของเขาต้องสูญเสียทหารเรือไป 3 นาย โดยหนึ่งนายเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ และอีกสองนายเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากบาดแผลที่ถูกสะเก็ดระเบิดซึ่งตกลงมาใส่ท้ายเรือ ซึ่งทั้งหมดกำลังประจำการอยู่ที่ปืนต่อสู้อากาศยาน

ชาบใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับกองทัพเรือในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเดินทางไปยังหมู่เกาะนิวเฮบริดีส หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “วานูอาตู” จากนั้นจึงไปยังหมู่เกาะมาเรียนาและโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

หลังสิ้นสุดสงคราม เขาได้ศึกษาวิศวกรรมการบินและอวกาศ และทำงานในโครงการยานอวกาศอะพอลโล ในตำแหน่งวิศวกรไฟฟ้าให้กับบริษัท General Dynamics โดยมีส่วนช่วยในการส่งนักบินอวกาศไปยังดวงจันทร์ด้วย


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : cnn